“เมื่อก่อนเป็นคนหนึ่งที่กลัวเวทเทรนนิ่ง เพราะกลัวว่ากล้ามจะใหญ่ ตัวจะใหญ่ แต่หลังจากได้สัมผัสจริง ๆ จึงรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิดเลย พอยิ่งเข้าไปในโลกนี้มากขึ้น ก็ยิ่งมองมัดกล้ามบนร่างกายเป็นเหมือนความสวยงาม ยิ่งเวลาที่ได้เห็นผู้หญิงที่มีกล้ามเนื้อสวย ๆ เรายิ่งรู้สึกว่า…ทำไมมันดูเซ็กซี่จัง“ นี่เป็น ’แรงบันดาลใจ“ ที่ทำให้เธอคนนี้เข้าสู่ ’โลกแห่งกล้ามเนื้อ“  จนเป็น “จุดเปลี่ยนชีวิต” จาก “สาวสายหวาน” กลายมาเป็นอีกหนึ่ง “นางฟ้านักกล้าม-นางฟ้าเพาะกาย” ของวงการกีฬาเพาะกายประเทศไทย ซึ่งเรื่องราวของเธอก่อนที่จะเดินมาถึงจุดนี้ได้นั้นก็นับว่าน่าสนใจ และวันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะชวนดูเส้นทางชีวิตของ
“หมวยเล็ก-ดลพร แทนบุญไพรัช” คนนี้…

“หมวยเล็ก-ดลพร” บอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวให้ “ทีมวิถีชีวิต” ฟังว่า ปัจจุบันอายุ 29 ปี โดยก่อนจะมาเป็น “นางฟ้านักกล้าม-นางฟ้าเพาะกาย” นั้น ในอดีตเธอเคยเป็น “นางฟ้าบนเครื่องบิน” เคยเป็น “แอร์โฮสเตส” สายการบินมาก่อน แต่ปัจจุบันผันตัวเองมาเป็น “เทรนเนอร์เวทเทรนนิ่ง” และเป็น “นักกีฬาเพาะกาย” โดยครอบครัวเธอมีพื้นเพเป็นคนกรุงเทพฯ ซึ่งเธอเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนทิวไผ่งาม จากนั้นก็ศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ โดยหลังเรียนจบเธอเลือกทำงานเป็นแอร์โฮสเตส เพราะเป็นอาชีพที่ฝันไว้ตั้งแต่ในวัยเด็ก และนอกจากอาชีพแอร์โฮสเตสแล้ว หมวยเล็กบอกว่า เธอยังฝันอยากที่จะทำงานในวงการบันเทิงด้วย ซึ่งจากความฝันนี้ก็ได้ผลักดันให้เธอเข้าสู่ “สายประกวด” มาตั้งแต่เด็ก โดยเวทีแรกที่ได้เข้าประกวดคือมิสทีนไทยแลนด์

’การเข้าประกวดครั้งแรกนั้น ตอนนั้นเรียนอยู่ ม.3 โดยครั้งนั้นเราติดแค่รอบ 50 คน ไม่ได้เข้ารอบสุดท้าย จนช่วงที่อยู่ ม.6 เราก็ตัดสินใจประกวดเวทีเดิมอีกครั้ง เป็นเวทีมิสทีนไทยแลนด์ 2011 หรือปี 2554 ซึ่งครั้งนี้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ แต่ปีนั้นกรุงเทพฯ เกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้ต้องมีการเลื่อนการประกวดออกไป พอมาถึงวันที่จะจัดประกวด ปรากฏตรงกับวันที่มีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยพอดี เราก็เลยต้องยอมตัดใจจากเวทีประกวด เพราะเลือกที่จะเอาเรื่องเรียนเป็นหลักก่อน และถัดจากเวทีมิสทีนไทยแลนด์มา เราก็ลองประกวดเวทียูทิป เฟรชชี่ ไอดอล  (Utip freshy Idol) ซึ่งหลังประกวดเวทีนี้ก็ถูกทาบทามให้ไปอยู่ในสังกัดของโมเดลลิ่งแห่งหนึ่ง ส่งผลให้ได้ทำงานในวงการบันเทิงหลากหลาย ซึ่งตอนนั้นมีทั้งงานพิธีกร ถ่ายแบบ และไปแคสต์งานต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ“ …เธอเล่าถึงจังหวะชีวิตอันเนื่องจากการประกวด ที่ต่อมาได้ช่วยเป็นสะพานสานฝันให้เธอได้มีโอกาสทำงานในวงการบันเทิง

เวที “นางฟ้านางงาม” ก็เคยผ่าน

ส่วนเส้นทางอาชีพแอร์โฮสเตสนั้น หมวยเล็ก เล่าว่า ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอทำงานในวงการบันเทิงไปด้วย โดยรับงานพิธีกร และตระเวนไปแคสต์งานต่าง ๆ จนเวลาผ่านไป 4 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ใกล้จะเรียนจบแล้ว เธอก็กลับมามองเส้นทางในวงการบันเทิงของเธอว่า…คงไปได้ไม่ไกลกว่านี้แล้ว เธอจึงหันมาสนใจความฝันเกี่ยวกับการเป็นแอร์โฮสเตสอย่างจริงจัง ซึ่งพอเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอก็สมัครงาน และได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงานเป็น แอร์โฮสเตสสายการบินนกแอร์ อย่างที่ตั้งใจไว้ โดยหลังจากที่ได้ทำงานเป็นแอร์โฮสเตสแล้ว ด้วยความสดใสน่ารักของเธอ ก็ทำให้ได้รับเลือกเป็น พรีเซ็นเตอร์นกแอร์ โดยเธอทำอาชีพแอร์โฮสเตสควบคู่ไปพร้อมกับอาชีพ นักรีวิวสินค้า ด้วย เนื่องจากมีลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ความสวยความงามนั้นติดต่อมาหาเธอเพื่อให้ช่วยรีวิวสินค้าอยู่เรื่อย ๆ  …นี่เป็นเรื่องราวบนเส้นทางความฝันที่ 2 ของหมวยเล็ก ที่เธอได้บอกเล่าไว้

ขณะที่เส้นทางสาย “นักเพาะกาย” นั้น เรื่องนี้เธอเล่าว่า ด้วยหน้าที่การงาน และการใช้ชีวิตส่วนตัวของเธอ ซึ่งเธอชอบใช้ชีวิตแบบเต็มที่ ทั้งเที่ยวเล่น ปาร์ตี้ ก็ทำให้การนอนและการกินไม่เป็นเวลา พอถึงจุดหนึ่งเธอก็เริ่มรู้สึกได้ว่า ร่างกายสุขภาพเริ่มทรุดโทรม จึงหันกลับมาดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายมากขึ้น และพอได้ออกกำลังกายมากขึ้นเธอก็เริ่มชอบ และแม้ตอนแรกจะกลัวการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง เนื่องจากมีความคิดฝังในหัวว่าผู้หญิงที่เล่นเวทเทรนนิ่งจะตัวใหญ่ จะมีกล้ามโต แต่พอได้เข้าไปสัมผัสจริง ๆ กลับไม่ใช่อย่างที่เคยคิดไว้ แถมยิ่งได้สัมผัสมากขึ้น เธอก็ยิ่งหลงใหล จึง “เล่นกล้าม” อย่างจริงจัง

อดีต “นางฟ้าบนเครื่องบิน” ปัจจุบัน “นางฟ้าเพาะกาย”

หลังจากนั้น เมื่อผ่านไปสักพักใหญ่ เทรนเนอร์ของเธอซึ่งเคยเป็นนักกีฬาเพาะกายมาก่อนก็ชวนเธอให้ลองขึ้น ประกวดเวทีเพาะกาย เพราะมองเห็นว่าเธอพอจะมีแววไปได้ ซึ่งด้วยความที่เป็นสายประกวดมาตั้งแต่เด็ก ๆ อยู่แล้ว เธอจึงไม่รู้สึกกลัวเวที ซึ่งตอนที่ขึ้นประกวดครั้งแรกนั้นเธอเพิ่งจะเริ่มเพาะกล้ามได้แค่ 3 เดือน การประกวดครั้งนั้นเธอไม่ได้รางวัลอะไร แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกสนุกกับการเพาะกายมากขึ้น เพราะได้มีโอกาสเห็นผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมประกวดเหมือนเธอ ซึ่งยิ่งได้เห็นคนที่สามารถเล่นกล้ามให้ออกมาดูสวย แถมดูสุขภาพดี จึงจุดประกายทำให้เธออยากที่จะทำให้ได้บ้าง จึงหมั่นพัฒนาตัวเองมากขึ้น

’ช่วงที่ประกวดครั้งแรก เป็นช่วงที่เรายังทำงานเป็นแอร์โฮสเตสอยู่ด้วย ทำให้มีเวลาฝึกซ้อมได้ไม่มาก แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นช่วงที่มีโควิด-19 ระบาด เราได้ตัดสินใจลาออกจากงานมา  เนื่องจากเกิดวิกฤติหลาย ๆ อย่าง ประกอบกับตัวเองก็เริ่มเต็มอิ่มกับอาชีพแอร์โฮสเตสแล้ว จึงอยากลองหาอาชีพใหม่ดู และก็ค้นพบความชอบใหม่ของตัวเอง นั่นคือการออกกำลังกาย และอยากเป็นนักกีฬาเพาะกาย ซึ่งก่อนที่จะลาออกมา อันที่จริงก็มีการเตรียมความพร้อมไว้บ้างแล้ว โดยได้ไปเรียนและสอบจนได้ใบรับรองการเป็นเทรนเนอร์มาแล้ว ถึงได้ตัดสินใจลาออกจากงานแอร์โฮสเตส เพื่อมายึดอาชีพเทรนเนอร์ โดยทำควบคู่ไปกับธุรกิจขายของออนไลน์“ …เป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งของชีวิต หมวยเล็ก คนนี้

คว้าแชมป์รุ่นโมเดลฟิสิกส์หญิง

ทั้งนี้ หลังตัดสินใจโบกมือลาอาชีพนางฟ้าบนเครื่องบิน เธอก็หันมาทุ่มเทกับกีฬาเพาะกายและอาชีพใหม่อย่างเทรนเนอร์เวทเทรนนิ่ง จนถึงจุดหนึ่ง เธอก็ตัดสินใจเข้าประกวดเวทีเพาะกายอีกครั้ง โดยรุ่นที่เธอลงแข่งขันนั้นเป็น รุ่นโมเดลฟิสิกส์หญิง ที่เป็นรุ่นที่เน้นความสวยงาม ไม่ได้เน้นกล้ามเนื้อใหญ่ ๆ  แต่เน้นรายละเอียดหรือดีเทลของกล้ามเนื้อที่ชัดเจน ซึ่งการกลับมาประกวดอีกครั้งของเธอ กับการที่ได้มีเวลาเต็มตัวมากขึ้น ทำให้เธอเริ่มคว้ารางวัลจากการประกวดได้ จากที่ 2 ก็ได้อันดับ 1 และในปี 2566 นี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้เธอก็เพิ่งจะได้รางวัลอันดับ 1 อีก โดยเธอสามารถคว้า แชมป์รุ่นโมเดลฟิสิกส์หญิง ประเภทความสูงเกิน 164 เซนติเมตร มาครองได้สำเร็จโดยเป็นรายการแข่งขันชื่อ อีสานคลาสสิก โรด ทู มิสเตอร์ไทยแลนด์ 2023 และขณะนี้เธอก็กำลังฟิตซ้อมอย่างหนัก เพื่อเตรียมตัวประกวดในรายการใหญ่อย่าง มิสเตอร์ไทยแลนด์ 2023 ที่จะมีขึ้นในช่วงต้นเดือน เม.ย. ที่จะถึงนี้ ซึ่งเธอตั้งใจมาก เพราะ เวทีนี้เป็นเวทีที่ใช้คัดตัวนักกีฬาเพาะกายทีมชาติไทย ด้วย

’ปีที่แล้ว กับเวทีนี้เราได้ที่ 2 ในปีนี้เรามุ่งมั่นตั้งใจว่าจะพยายามคว้าที่ 1 ให้ได้ เพื่อที่จะได้ติดทีมชาติไปเป็นตัวแทนประเทศไทย ทำให้ตอนนี้พยายามฟิตซ้อมเต็มที่ โดยตอนนี้ต้องออกกำลังกายวันละไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์“ …หมวยเล็กบอกเราเรื่องนี้ด้วยเสียงที่มุ่งมั่น

ทาง “ทีมวิถีชีวิต” ถาม “หมวยเล็ก-ดลพร” นักกีฬาเพาะกายสาวสวย อดีตนางฟ้าสายการบิน ว่าเธอได้วางเป้าหมายชีวิตจากนี้ไว้อย่างไร? โดยเธอบอกว่า เป้าหมายตอนนี้คือโฟกัสที่การคัดตัวทีมชาติ ซึ่งเธอต้องการที่จะติดทีมชาติไทยกีฬาเพาะกาย เพราะเธอมีฝันใหม่ว่า ’อยากจะได้ลงแข่งในนามประเทศไทยสักครั้ง“ หลังจากนั้นก็จะมามุ่งมั่นกับอาชีพ “เทรนเนอร์” ให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ส่วนมุมมองของเธอที่มีต่อกีฬาเพาะกายนั้น เธอบอกว่า เสน่ห์ของกีฬาชนิดนี้คือ ’เพาะกายเป็นกีฬาที่ไม่ได้ไปสู้กับใคร แต่เป็นกีฬาที่ต้องสู้กับใจตัวเอง“ ซึ่งถึงแม้ในการฝึกซ้อมจะมีโค้ชคอยวางแผนให้ ทั้งการซ้อม การกิน แต่นักกีฬาก็มีหน้าที่ของตัวเองคือต้องทำตามที่โค้ชบอกให้ได้แบบ 100% ดังนั้นคนที่เล่นกีฬาชนิดนี้จึงต้องมีวินัยสูงเช่นกัน

’ยิ่งถ้าเป็นสายประกวดด้วยแล้ว ช่วงเก็บตัวฝึกซ้อมนั้นเรียกว่าไลฟ์สไตล์และกิจวัตรชีวิตแทบทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไปเลย ซึ่งเราเองโชคดีที่แฟนเขาเข้าใจในความฝันของเรา เขาจึงพร้อมสนับสนุนเราอย่างเต็มที่…

ให้เราได้พยายามทำฝันให้สำเร็จ“.

‘แรงบันดาลใจ-เปลี่ยนมายด์เซต’

“นางฟ้านักกล้าม-นางฟ้าเพาะกาย” ที่ชื่อ “หมวยเล็ก-ดลพร แทนบุญไพรัช” เล่าไว้ด้วยว่า เวลาขึ้นเวทีประกวดในฐานะนักกีฬาเพาะกายหญิงนั้น เธอคิดว่าเป็นวันที่นักกีฬาสวยที่สุด และก็เป็นวันที่อ่อนแอที่สุดด้วยเนื่องจากก่อนวันแข่งทั้งต้องอดน้ำ 24 ชั่วโมง เพื่อให้เห็นกล้ามเนื้อชัดขึ้น และ ตอนประกวดนักกีฬาเพาะกายหญิงต้องทรงตัวบนรองเท้าส้นสูง พร้อม ๆ กับพยายามขับเน้นกล้ามเนื้อให้ออกมาดูดีที่สุด ช่วงแรก ๆ เธอจึงมองว่ายากมาก แต่พอได้ฝึกซ้อมหนัก ๆ ฝึกซ้อมมาก ๆ เข้า ก็ทำให้ความกังวลค่อย ๆ หายไป ทำให้ไม่รู้สึกเขิน แต่กลัวพลาดมากกว่า ทั้งนี้ มีอีกเป้าหมายหนึ่งที่เธออยากเป็นให้ได้ โดยเธอบอกว่า อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงคนอื่น ๆ เกิด “แรงบันดาลใจเกี่ยวกับกีฬาเพาะกาย” โดยเธออยากเปลี่ยนมายด์เซต (Mindset) ของหลาย ๆ คนที่มีต่อกีฬาชนิดนี้… ’การเล่นเพาะกาย ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องทำให้ตัวเองมีกล้ามใหญ่โต แต่เป็นการเติมสรีระของเราให้ดูสวย ดูเฟิร์มขึ้นมากกว่า อย่างบางคนปกติไม่มีก้นเลย แต่พอเล่นกล้ามแล้วมันก็ไปช่วยเพิ่มได้ ซึ่งการเล่นเวทเทรนนิ่ง หรือเพาะกายนั้น ก็เหมือนกับการที่เราแต่งหน้า…เพื่อให้ดูสวย ดูเพอร์เฟกต์ขึ้น“.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน