วันที่ 18-19 พ.ย.65 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค โดยมีสมาชิกประกอบด้วย 21 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ ไทย จีน ไต้หวัน ฮ่องกง ปาปัวนิวกินี เม็กซิโก ชิลี เปรู เวียดนาม สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย

ประเทศไทยเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคครั้งหลังสุดเมื่อปี 46 ได้อย่างยิ่งใหญ่ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นบรรยากาศที่ประทับใจของ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูต และเจ้าของเพจ “ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns” ซึ่งตอนนั้นเป็นข้าราชการในกรมสารนิเทศ ทำหน้าที่ดูแล “เพรส เซ็นเตอร์” ซึ่งมีนักข่าวไทย-ต่างประเทศ มาปักหลักทำข่าวการประชุมเอเปคเป็นจำนวนมาก

ทำไม “เอเปค” ปี 46 กับปัจจุบันจึงต่างกันมาก!

จากประสบการณ์ดังกล่าว นายรัศม์ได้เล่าบรรยากาศเกี่ยวกับการประชุมเอเปคในปี 46 และเอเปคปี 65 ให้ “ทีมข่าว Special Report” ฟังว่า บรรยากาศการประชุมเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อ 19 ปีที่แล้ว กับปีนี้แตกต่างกันมาก เพราะรัฐบาลในขณะนั้นเป็นรัฐบาลเลือกตั้งจากเสียงข้างมาก และมีเสถียรภาพ จึงมีพลังในการผลักดันนโยบายต่างๆ ออกมาแล้วทำสำเร็จด้วย เศรษฐกิจก็ดี มีเงินในกระเป๋า ทำให้ประเทศไทย “เนื้อหอม” เราจึงเป็นดาวเด่นในภูมิภาคนี้ เป็นจุดที่น่าสนใจ ใครผ่านมาแถวนี้ต้องแวะมาไทย ดังนั้นการประชุมเอเปคปี 46 ผู้นำระดับโลกจึงมากับครบ

แต่ปัจจุบันแตกต่างกับปี 46 มากๆ เนื่องจากรัฐบาลขาดความชอบธรรมในหลายเรื่อง เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน แล้วในหลักสากลที่หลอกกันไม่ได้เลยคือการมี ส.ว. 250 คน มาจากการแต่งตั้ง โดย ส.ว.มีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภาฯ ตรงนี้แหละที่ทำให้นายกรัฐมนตรีไทยไม่สง่างามในสังคมโลก แถมยังเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคการเมือง จึงไม่มีเสถียรภาพอย่างแท้จริงในการผลักดันนโยบาย เนื่องจากรัฐบาลทหารขับเคลื่อนนโยบายไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ มา 8 ปี แต่ไม่มีปีไหนเลยที่ “จีดีพี” โตถึง 4-5% และอย่าไปอ้างโควิด-19 ระบาด เพราะหลายประเทศในอาเซียน “จีดีพี” เขาโตกันมากกว่า 5%

“8 ปีที่ผ่านมา เราไม่มีภาพของความเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ เมื่อปี 64 มีการประชุมอาเซียนพูดคุยกันเรื่องสถานการณ์ในประเทศเมียนมา แต่ผู้นำของไทยไม่ได้ไปร่วมประชุม ผมงงเหมือนกันว่าทำไมผู้นำของเราจึงไม่ไป เพราะมันพัวพันกับเรื่องสิทธิมนุษยชน ยิ่งทำให้เรามีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีหนักขึ้นไปอีก แถมในกระเป๋าสตางค์ก็ไม่มีเงิน เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ประเทศไทยในปัจจุบันจึงมีความน่าสนใจน้อยกว่าปี 46 หลายคนอาจจะบอกว่า ประเทศจีนก็มีภาพลักษณ์ไม่ดีเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่อย่าลืมว่าจีนเขาร่ำรวย มีเงิน จึงเนื้อหอม ใครก็ต้องการคุยกับจีน”

ประชุมเต็มรูปแบบทำไม? “จี20” ดักหน้าอีก!

นายรัศม์ เล่าต่อไปว่า การประชุมเอเปค 2 ครั้งหลังสุดที่มาเลเซีย และนิวซีแลนด์ จัดการประชุมแบบออนไลน์ในช่วงโควิด-19 ระบาด แต่พอปีนี้ถึงคิวประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ตนยังงงๆ อยู่ว่า ทำไมต้องจัดการประชุมเต็มรูปแบบ เนื่องจากเนื้อหาสาระของการประชุมเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือในปัจจุบันเป็นเรื่อง “รูทีน” ไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบินมาประชุมก็ได้ ถ้าบินมาประชุมเพื่อคุยกันเรื่อง “ไบโอกรีน” มันน่าสนใจนักหรือ? ใครเขาจะมา?

แต่ที่น่าสงสัยคือ ไม่รู้ใครแกล้งใคร ไม่รู้ว่าปรารถนาดีหรือว่าประสงค์ร้ายกันแน่? เพราะมีการจัดการประชุม “จี20” ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนการประชุมเอเปคที่กรุงเทพฯ 2 วัน

ปรารถนาดีเพราะคิดว่ามาประชุม “จี20” ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศมหาอำนาจของโลก ยักษ์ใหญ่ของโลก แล้วต้องบินมาประชุมเอเปคกันต่อที่กรุงเทพฯ แต่ถ้าเขาไม่อยากมาล่ะ? เสร็จจาก “จี20” แล้วบินกลับเลย เพราะตรงนั้นมีวาระการประชุมสำคัญๆ ไม่ว่าจะเรื่องการเมืองโลก ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ไปคุยกันที่นั่น ประเทศมหาอำนาจในยุโรปต้องไป “จี20” แต่ไม่มาไทย เนื่องจากประเทศในยุโรปไม่ได้เป็นสมาชิกเอเปค

น่าคิด! “ไบเดน” รีบแจ้งล่วงหน้าเร็วนัก!

ถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่า “ปูติน” ผู้นำรัสเซียจะมาร่วมประชุมเอเปคหรือเปล่า เนื่องจากที่บ้านเขายังยุ่งๆเกี่ยวกับเรื่องสงคราม ปูตินคงทิ้งบ้านออกไปไหนหลายๆวันไม่ได้หรอก แต่ที่แน่คือ “ไบเดน” ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประกาศชัดเจนแล้วว่าไม่มาเอเปค เพราะติดงานแต่งหลานสาว ซึ่งตรงนี้ตนสงสัยมากว่าทำไม “ไบเดน” จึงต้องแจ้งล่วงหน้านานจัง? ไม่พอใจอะไรหรือเปล่า? หรือว่าเกี่ยวกับกรณีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ บินไปเชิญผู้นำรัสเซียเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา แล้วจึงบินไปอเมริกา แต่อีกไม่กี่วันต่อมาจึงมีข่าวออกมาเลยว่า “ไบเดน” ไม่มา

ทั้งที่ผู้นำเขตเศรษฐกิจต่างๆ จะมาหรือไม่มา หรือจะส่งตัวแทนมาร่วมประชุม ถือเป็นเรื่องปกติ จะตัดสินใจกันชั่วโมงสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องบินยังได้เลย แต่ผู้นำอเมริกาแจ้งล่วงหน้าเกือบๆ 2 เดือนว่าไม่มา อันนี้น่าคิดนะ!

เมื่อถามว่า “ไบเดน” ไม่มา! ส่วน “ปูติน” ยังไม่แน่ว่าจะมาหรือเปล่า ทำให้การประชุมเอเปคไม่เป็นที่สนใจของสังคมโลกหรือเปล่า?

นายรัศม์ กล่าวว่า ไม่รู้ว่าผู้นำจีนมาหรือเปล่า เพราะถ้า “ไบเดน-ปูติน” ไม่มา แต่ “สี จิ้นผิง”มา! เขาจะเป็นดาวเด่นในเอเปค และผู้นำไต้หวันคงมาแน่! ถ้าผู้นำจีนกับผู้นำไต้หวันได้มานั่งคุยกันที่กรุงเทพฯ มีภาพปรากฏออกไปทั่วโลก สังคมโลกก็จะให้ความสนใจการประชุมเอเปคในประเทศไทย

แต่วันนี้ต้องไปถามกระทรวงการต่างประเทศ ว่ามีสื่อมวลชนต่างประเทศติดต่อขอเข้ามาทำข่าวการประชุมเอเปคมากน้อยแค่ไหนแล้ว เนื่องจากปี 46 ที่ตนดูแล “เพรส เซ็นเตอร์” มีสื่อมวลชนไทย-ต่างประเทศ มาเฝ้ารายงานกันอย่างคักคักมากจำนวนหลายร้อยคน ทำให้ข่าวการประชุมเอเปคปี 46 แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว.