อีกหนึ่งปัญหากวนใจที่ใครหลายๆ คนไม่อยากให้เกิดขึ้น ยิ่งกับช่วงเวลาเร่งด่วนด้วย ก็เป็นเรื่องที่น่ากวนใจนัก โดยเฉพาะเรื่องของอาการ “รถสตาร์ทไม่ติด” ที่มักจะมีสาเหตุหลักๆ มาจาก 5 เหตุผลด้วยกัน 
 
ตัวการทำรถสตาร์ทไม่ติด

  • แบตเตอรี่เสื่อม หากใช้งานแบตเตอรี่มามากกว่า 2 ปี ก็เป็นไปได้ว่าแบตเตอรี่เสื่อม เนื่องจากใช้งานมานานก็ย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา โดยสาเหตุนี้มักจะพบอาการ “สตาร์ทไม่ติดตอนเช้า” หรืออาจจะมีในช่วงระหว่างวันตามระดับการเสื่อมของแบตเตอรี่ ซึ่งโดยมากหากจอดทิ้งไว้นานเกิน 8 ชม. ก็จะพบอาการสตาร์ทไม่ติด หากคุณพบเจออาการเหล่านี้ “ช่างเอก” ขอแนะนำวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นโดย “ขอพ่วงแบตเตอรี่จากรถยนต์คันอื่น” หากพ่วงแล้วสตาร์ทติดง่ายขึ้นหรือสตาร์ทติดในทันที ก็เป็นสัญญาณที่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้ แต่หากพ่วงแบตหรือเปลี่ยนแบตใหม่แล้วอาการรถสตาร์ทไม่ติดยังคงเป็นอยู่ ก็ควรไปเช็กอาการในลำดับถัดไปเลยครับ
  • ไดชาร์จเสื่อม อาการค่อนข้างคล้ายกับแบตเตอรี่ แต่จะแตกต่างตรงที่ “หากเครื่องยนต์ติดอยู่ จะดับเองในขณะที่ใช้รอบต่ำ” หรือช่วงที่รถกำลังเคลื่อนที่อยู่ อาจดับไปกลางอากาศก็มี โดยสามารถแก้ปัญหาเบื้องต้นโดยการพ่วงแบตกับรถคันอื่น หลังจากสตาร์ทรถติดให้ทิ้งไว้สักพัก แล้วค่อยถอดขั้วแบตออกข้างหนึ่ง ถ้ารถดับทันที กระตุก หรือมีอาการไฟตก แสดงว่า “ไดชาร์จเสื่อม” แล้วแน่นอน
  • ไดสตาร์ทเสีย หากสตาร์ทรถแล้วยังคงไม่ติด จะลองพ่วงแบตหรือนำแบตลูกใหม่มาเปลี่ยนก็คงเป็นอาการเดิม ลองสังเกตที่แผงหน้าปัดก็ยังคงมีไฟติด สตาร์ทแล้วยังมีเสียงแชะๆ หรือไม่ติดเลย ก็สันนิษฐานได้เลยว่า “ไดสตาร์ทมีปัญหา” ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็มาจากฟิวส์ไดสตาร์ทขาด สายไฟที่ต่อไปยังไดสตาร์ทหลุด หรือ แปรงถ่านที่อยู่ในไดสตาร์ทหมด เป็นต้น ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาดังกล่าว ก็เตรียมควักกระเป๋าติดต่อรถลากไปอู่ได้เลย
  • ระบบไฟฟ้ามีปัญหา ความจริงแล้วระบบไฟฟ้ารถมีปัญหานั้นเกิดยากสักหน่อย แต่ก็เป็นไปได้ สังเกตได้ง่ายๆ จากการบิดกุญแจแล้วไฟที่แผงหน้าปัดไม่ขึ้นโชว์ อาการนี้อาจจะเกิดได้ในกรณีที่จอดรถทิ้งไว้นานๆ จนหนูเข้ามากัดสายไฟขาด หรือมาจากการที่ลืมปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดไฟหน้า ไฟในรถ หรือไฟในส่วนอื่นๆ ก็ส่งผลให้ระบบไฟฟ้ารถยนต์มีปัญหาได้ สามารถแก้ไขเบื้องต้นได้จากการลองพ่วงแบตเตอรี่ ถ้าไม่มีการตอบสนองอะไรเลยเช่นเดิม ก็ชัดเจนว่าเป็นกรณีนี้ เรียกรถลากเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อมแน่นอน
  • น้ำมันหมด เป็นอาการที่เป็นไปได้ยาก นอกจากจะลืม และเป็นคนที่ชอบขับรถไปจนกว่าน้ำมันจะขึ้นขีดแดงแล้วค่อยเติม ซึ่งบางครั้งการสตาร์ทรถครั้งต่อไป อาจมีน้ำมันไม่เพียงพอให้สตาร์ทติดก็ได้ แต่ถ้าจำเป็นจริงก็ลองเข็นรถไปพื้นที่ราบ ไม่ลาดเอียง จากนั้นลองสตาร์ทดูอีกครั้ง ถ้ายังสตาร์ทไม่ติดก็ต้องหาปั๊มน้ำมัน หรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ต่อไป

อาการทุกอย่างเหล่านี้ หากเกิดขึ้นแล้วก็ควรนำรถไปตรวจเช็กและแก้ไขอย่างทันท่วงที เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวล เวลาสตาร์ทรถครั้งต่อไป ทั้งนี้ “อาการรถสตาร์ทไม่ติด” อาจมีสาเหตุได้มากกว่าหนึ่งข้อ ทางที่ดีควรให้ช่างตรวจสอบให้ละเอียดดีกว่าครับ…
…………………………….
คอลัมน์ : รู้ก่อนเหยียบ 
โดย “ช่างเอก”
ติดต่อสอบถามข้อมูลโดยตรงที่ [email protected]

……………………..
ขอบคุณข้อมูลจาก
บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด