จากกรณี นางน้อย (นามสมมุติ) อายุ 44 ปี พา น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี นร.ชั้นม. 3 ลูกบุญธรรม เข้าร้องสื่อหลังอ้างว่า ลูกสาวโดนเสี่ยวัย 60 ปี เจ้าของรีสอร์ทแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ บังคับให้ขายบริการทางเพศให้แก่แขกที่มาพักในรีสอร์ทของตัวเอง เพื่อเป็นการขัดดอกหลังจากทำสัญญากู้ยืมเงิน 6,300 บาท เพื่อนำไปรักษาย่าวัย 70 ปี ที่ต้องการผ่าตัดด่วน โดยเด็กสาวต้องจำใจขายบริการให้แขกถึง 4 ครั้ง แต่กลับถูกบังคับให้ขายต่อไปจนทนไม่ไหว พอจะนำเรื่องไปบอกตำรวจอีกฝ่ายก็อ้างมีอิทธิพลรู้จักตำรวจทั้งโรงพัก จึงนำเรื่องมาเล่าให้นางน้อยฟัง ตามที่ปรากฏเหตุการณ์ไปแล้วนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 24 เม.ย. เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและตำรวจ สภ.ละหานทราย ได้นั่งรอ น.ส.น้อย พา น.ส.เอ มาเข้าแจ้งความ เพื่อสอบปากคำ จนกระทั่งถึงช่วงค่ำที่ผ่านมาก็ยังปรากฏว่ามีการแจ้งความแต่อย่างใด ภายหลังผู้สื่อข่าวเดินทางไปสอบถามยัง น.ส.ดี (นามสมุติ) อายุ 65 ปี ผู้ดูแลรีสอร์ท เบื้องต้นระบุว่า ตนทำงานได้ประมาณ 1 ปี เห็น น.ส.เอ มาทำงานที่รีสอร์ทจริง แต่ไม่พบว่ามีการเปิดห้องรับแขกตามที่กล่าวอ้าง ส่วนใหญ่แขกที่มาพักมามากันเป็นคู่อยู่แล้ว สำหรับพฤติกรรมของเจ้าของนั้น ปกติเป็นคนใจดี ไม่เคยพบว่ามีพฤติกรรมข้องเกี่ยวกับเรื่องค้าบริการ หรือมีพฤติกรรมชู้สาวแต่อย่างใด
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นางวรรณา ดวงมาลา อายุ 50 ปี ประธาน อสม.ตำบลโคกว่าน อ.ละหานทราบ บอกว่า น้องเป็นคนน่าสงสาร หารับจ้างทำงานเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงปู่กับย่าที่ป่วยติดเตียง ปกติแล้วจะออกไปทำงาน 2-3 วันจะกลับมาดูหนึ่งครั้ง แต่ในช่วงหลังจะนานหน่อย ส่วนกรณีข่าวที่ว่า แม่บุญธรรม พาน้องไปร้องสื่อนั้นตนไม่ทราบว่าน้องมีแม่บุญธรรมมาก่อน เพราะไม่เคยเห็นแต่อย่างใด ทำให้เกิดความสงสัยว่าเป็นแม่บุญธรรมจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามหากเกิดเรื่องขึ้นเป็นความจริง ก็ควรไปตรวจร่างกาย หรือนำหลักฐานที่เกี่ยวข้อง แจ้งความกับตำรวจโดยเร็ว.