เมื่อวันที่ 16 มี.ค. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมแนวทางการลดผลกระทบต่อภาคคมนาคมขนส่ง จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหพันธรัฐรัสเซีย และประเทศยูเครน ผ่านระบบ Zoom ว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม พิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ด้านการขนส่งทางถนน ให้พิจารณาต้นทุนรถโดยสารสาธารณะ ที่จะส่งผลต่อการเสนอปรับขึ้นอัตราค่าโดยสาร รวมทั้งต้นทุนรถแท็กซี่ รวมถึงแนวทางการอุดหนุน (Subsidy) ผู้ประกอบการเนื่องจากต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น โดยในส่วนของผู้ให้บริการขนส่ง ให้เตรียมประเมินสถานการณ์ในอนาคต กรณีตรึงราคาน้ำมันที่ 30 บาท/ลิตร และที่ราคาอื่นๆ รวมถึงการประเมินราคาต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้น และแนวทางในการจ่ายเงินชดเชยค่า K หรือ ESCALATION FACTOR

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ด้านการขนส่งทางราง ให้ประชาชนสะดวกในการเข้าใช้ระบบการขนส่งทางราง โดยพัฒนาระบบการจ่ายค่าโดยสารร่วมในระบบขนส่งมวลชนสาธารณะรูปแบบอื่น การส่งเสริมทางการตลาด เพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้ประชาชนเดินทางด้วยรถไฟฟ้า รวมทั้งพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่ให้ข้อมูลการเดินทาง การเชื่อมต่อตลอดจนมาตรการส่งเสริมการขนส่งระบบราง และเตรียมความพร้อมในการรองรับบริการที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางมาใช้ระบบรถไฟฟ้า ด้านการขนส่งทางน้ำ ให้มีแผนการปรับเปลี่ยนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้พลังงานทางเลือกอื่น โดยบริหารจัดการสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการดำเนินกิจการและการปฏิบัติงาน เพื่อมิให้เกิดการหยุดชะงักอย่างเฉียบพลันและส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ

นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ด้านการขนส่งทางอากาศ ให้พิจารณามาตรการบรรเทาผลกระทบสายการบิน รวมทั้งพิจารณามาตรการให้การช่วยเหลืออื่นๆ เพิ่มเติมในด้านการผ่อนคลายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินกิจการของผู้ประกอบการ รวมทั้งมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายของสายการบิน โดยเฉพาะค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และเตรียมพร้อมในกรณีเกิดเหตุวิกฤติ ทั้งนี้หน่วยงานภาคเอกชนได้เสนอประเด็นปัญหาเรื่องการขนส่งชายฝั่งและการบริหารจัดการพื้นที่ภายในท่าเรือแหลมฉบัง รวมทั้งมาตรการสนับสนุนเพื่อลดต้นทุนการขนส่งด้านอื่นๆ นอกเหนือจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นด้วย

นายศักดิ์สยาม กล่าวด้วยว่า ได้มอบให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ประสานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานภาคเอกชน นำข้อเสนอแนะต่างๆ มาประมวลสรุปผล เพื่อนำเสนอต่อกระทรวงคมนาคม ก่อนรายงานไปยังนายกรัฐมนตรี และให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนด้านโลจิสติกส์และขนส่งที่เกี่ยวข้อง และเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานร่วมกันติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้สามารถผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้มีการประชุมติดตามผลการดำเนินงานครั้งถัดไปในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า.