เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ซึ่งในการพิจารณาญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาร่วมกันพิจารณาถึงผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจเกี่ยวกับการเปิดประเทศ
ภายหลังจากที่ ส.ส. อภิปรายเสนอความเห็นเป็นเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ชี้แจงว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เน้นย้ำให้มาฟังคำแนะนำ และข้อบกพร่องไปแก้ไข ทั้งนี้ นายกฯ และรัฐบาลมีแผนและเปิดประเทศเมื่อ 1 พฤศจิกายน พบว่า 10 วัน หลังจากเปิดประเทศมีนักเดินทางรวม 2.4 หมื่นราย และภายในเดือนพฤศจิกายน นักท่องเที่ยวมีความต้องการเดินทางเข้ามาอีก 2แสนราย ตนมั่นใจว่าหากไม่เกิดคลัสเตอร์ใหญ่หลังเปิดประเทศ และอีก 2 สัปดาห์จากนี้มีสัดส่วนผู้รับวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ไม่มีเชื้อกลายพันธุ์เร่งด่วน หรือคลัสเตอร์ใหญ่ และกระทรวงสาธารณสุขฉีดวัคซีนให้ครบ 100 ล้านโด๊ส คิดเป็นร้อยละ 70 ของประชากร และสามารถทำไปจนถึงวันที่ 1 ธ.ค.นี้ จึงมั่นใจว่าเดินหน้าไปได้ไม่สะดุด แต่ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกฝ่าย รวมถึงรัฐบาลและหลายกระทรวงต้องร่วมมือ
นายสาธิต กล่าวด้วยว่าสำหรับความไม่สะดวกของ Thailand pass นั้นในวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่มีการประชุม ศบค. จะประชุมเพื่อจัดการให้เรียบร้อย เสร็จสิ้นทั้งหมด ทั้งนี้ตนจะรับข้อท้วงติงและข้อเสนอแนะทุกเรื่องที่เป็นข้อเท็จจริงนำไปสู่การแก้ปัญหาเพื่อให้เปิดประเทศของไทย เดินหน้าเต็มที่ ส่วนการควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขพยายยามเต็มที่ เพื่อไม่ให้สถานการณ์กลับไปสู่จุดที่มีผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตจำนวนมากเพราะมีผลกระทบต่อความเชื่อม้่นของประเทศและต่างประเทศ โดยตนจะนำเรียนให้นายกฯ รับทราบเพื่อเสนอต่อ ศบค. เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป
นายสาธิต กล่าวต่อว่า สำหรับข้อเสนอของ ส.ส. ที่ต้องการเร่งหาวัคซีนให้กับเด็กเล็กเพื่อให้สามารถกลับไปเรียนในโรงเรียนได้ ขณะนี้ทราบว่าบริษัทไฟเซอร์อยู่ระหว่างการขออนุมัติจากหน่วยงานในสหรัฐอเมริกา ตนได้สั่งการให้ อย. ติดตาม และขอให้ไฟเซอร์ ขึ้นทะเบียนกับไทยโดยเร็วที่สุด เพื่อตรวจสอบคุณภาพของวัคซีนสำหรับเด็กเล็กที่มีข้อมูลเบื้องต้นว่าจะใช้เพียง 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับวัคซีนที่ใช้กับผู้ใหญ่ และระหว่างที่รอนั้นหากเอฟทีเอ อนุมัติและฉีดให้เด็กเล็ก จะเก็บรวบรวมข้อมูล ผลกระทบ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ปลอดภัยกับเด็กเล็กมากที่สุด