ข้อมูลจาก รพ.เมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) ระบุว่า ในการรักษาวัณโรคจำเป็นต้องรับประทานยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เพื่อกำจัดเชื้อวัณโรคให้เด็ดขาด และต้องใช้ยาหลายขนานในการรักษา จึงอาจส่งผลกระทบทำให้เกิดปัญหาต่อเส้นประสาทตาได้ แนะนำผู้ที่รับยาต้านวัณโรคจำเป็นจะต้องได้รับการตรวจตาจากจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

เรื่องนี้ นพ.อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการ รพ.เมตตาประชารักษ์ ระบุว่า โรควัณโรคถือเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญของโลก โดยเป็น 1 ใน 3 โรค อันเป็นเหตุทำให้ประชากรโลกเสียชีวิตมากที่สุดหากนับรวมโรคเอดส์ และโรคมาลาเรีย โดยในปี 2566 ประเทศไทยมีประมาณการจำนวนผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ 111,000 คน แต่มีการรายงานการขึ้นทะเบียนรักษาเพียง 72,274 คน และเสียชีวิตจากวัณโรค ปีละ 13,700 คน

วัณโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ติดต่อจากคนสู่คนผ่านอากาศ การไอ จาม อาการสำคัญของวัณโรคปอด คือไอแห้ง ๆ ติดต่อเกิน 2 สัปดาห์ ไอมีเสมหะปนเลือด อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำหนักลด เจ็บหน้าอก ไข้ต่ำ ๆ วิธีการตรวจวินิจฉัยโรค โดยการเอกซเรย์ปอด และตรวจเสมหะหาเชื้อวัณโรค แต่ก็สามารถรักษาหายได้ด้วยยารักษาที่มีประสิทธิภาพสูง เช่นยาอีแทมบูทอล เนื่องจากการใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลข้างเคียงต่อเส้นประสาทตา จำเป็นต้องได้รับการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอ”

พญ.ปิยวดี ชัยมงคลตระกูล หัวหน้าหน่วยประสาทจักษุ ระบุว่า ภาวะเส้นประสาทตาเสื่อมจากยาอีแทมบูทอลมักเกิดขึ้นที่ตาทั้งสองข้างโดยมีลักษณะตามัวตรงกลางภาพและมัวลงแบบช้า ๆ โดยไม่มีอาการปวดร่วมด้วย มักเกิดภายหลังได้รับยาอีแทมบูทอลประมาณ 2-8 เดือน โดยในระยะแรกอาจพบมีการมองเห็นภาพสีผิดปกติ หรือมีความสามารถในการแยกความต่างของความมืดและสว่างลดลง ในระยะต่อมาผู้ป่วยจะมีระดับการมองเห็นลดลงและมีความผิดปกติของลานสายตา

ทั้งนี้ในระยะเริ่มแรกของโรคอาจตรวจไม่พบความผิดปกติของขั้วประสาทตา โดยสามารถตรวจพบลักษณะขั้วประสาทฝ่อได้ในระยะต่อมา และอาจตรวจพบลานสายตาผิดปกติแบบตาบอดครึ่งซีกคู่นอกได้ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายถึงกลไกการเกิดเส้นประสาทเสื่อมจากยาอีแทมบูทอลได้อย่างชัดเจน เชื่อว่าเกิดจากยาอีแทมบูทอลแย่งจับกับธาตุทองแดงทำให้การทำงานของเส้นประสาทตาลดลงและทำให้เกิดการฝ่อของเส้นประสาทตาตามมา เพราะการเกิดภาวะข้างเคียงจากยาอีแทมบูทอลสัมพันธ์กับปริมาณยาอีแทมบูทอลที่ผู้ป่วยได้รับ

หากได้รับน้อยกว่าหรือเท่ากับ 15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน พบภาวะเส้นประสาทตาเสื่อมได้ 1% และพบได้สูงถึง ประมาณ 30% หากได้รับยา 35 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ผู้ที่เกิดภาวะข้างเคียงต่อเส้นประสาทตาจากยาอีแทมบูทอลควรหยุดยาอีแทมบูทอลโดยการพิจารณาของอายุรแพทย์ อย่างไรก็ตามภาวะข้างเคียงต่อเส้นประสาทตาจากยาอีแทมบูทอลอาจมีความรุนแรงมากขึ้นภายหลังหยุดยาอีแทมบูทอลแล้ว 1-2 เดือน ในปัจจุบันยังไม่มีแนวทางในการตรวจติดตามผู้ที่ได้รับยาอีแทมบูทอลอย่างชัดเจน ทั้งนี้ในผู้มีความจำเป็นต้องใช้ยาอีแทมบูทอลควรตรวจคัดกรองภาวะข้างเคียงเป็นระยะหรือเมื่อมีอาการผิดปกติทางการมองเห็น เช่น ตามัวลง ควรพบจักษุแพทย์.