นายวิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แผนงานใน 5 ปีจากนี้บริษัทจะใช้เงินลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 16,500 ล้านบาท ในไทยและเอเชียตามแผนเดิม เพื่อขยายกำลังการผลิตและวิจัยพัฒนาโดยเฉพาะด้าน AI ที่จะลงทุนสนับสนุนการเพิ่มกำลังไฟ รองรับการเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์,ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีระบายความร้อน 

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนกลุ่มธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ 25% ของรายได้รวม และคาดว่าแนวโน้มจากนี้ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่ Microsoft และ Google ประกาศแผนการลงทุนเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทยนั้นจะเป็นหนึ่งในโอกาสของบริษัท จากการดูแลเซิร์ฟเวอร์ระบบจัดการความร้อน สำหรับอัพเกรดดาต้าเซ็นเตอร์ให้ดีขึ้น

ขณะเดียวกัน ด้วยเงื่อนไขของการลงทุนของ Microsoft และ Google ที่จะต้องใช้พลังงานสะอาดที่เป็น Green Ennergy นั้น ปัจจุบันบริษัทมีพลังงานจากแก๊ส ถ่านหินรองรับ และคาดว่าหลังจากนี้อยากให้รัฐบาลไทยมีความชัดเจนในเรื่องของนโยบายการสนับสนุนพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ไม่ว่าจะเป็นการรองรับดาต้าเซ็นเตอร์หรือภาคการผลิตของอุตสาหกรรมเอง เพราะต่างต้องการพลังงานสะอาด ด้วยคือพลังงานที่ยั่งยืน เชื่อว่าในปี 2568 ความต้องการพลังงานสะอาดจากภาคอุตสาหกรรมจะมีเสถียรภาพมากขึ้น

ส่วนธุรกิจอีวีของบริษัทที่เป็นตัวทำรายได้หลักที่ผ่านมาเริ่มชะลอตั้งแต่ปลายปี 2566 ต่อเนื่องถึงปีนี้ แต่มองว่ายังเป็นเมกะเทรนด์ในสภาวะโลกร้อน และสังคมผู้สูงอายุ ทำให้มองว่าจะมีการขับเคลื่อนต่อและไม่หายไปไหน แต่ขณะนี้เป็นเพียงช่วงเปลี่ยนผ่านของวงจรระยะหนึ่งจนกว่าราคาแบตเตอรี่รถยนต์จะถูกลง

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวนี้บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายเติบโตทั้งรายได้และกำไรในตัวเลข 2 หลัก แม้ยอดขายธุรกิจบางกลุ่มจะชะลอตัว แต่ยังมีกลุ่มธุรกิจอื่นที่เติบโต ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทมีธุรกิจในพอร์ตที่หลากหลาย

ล่าสุด เดลต้าจัดงานประชุมสุดยอดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ Delta Future Industry Summit 2024 ภายใต้ธีม “ปลดล็อกศักยภาพ AI รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมและดาต้าเซ็นเตอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของ AI ในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมเพิ่มประสิทธิภาพและขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั่วทั้งภูมิภาคโดยเน้นการใช้ศักยภาพของ AI การเปลี่ยนแปลงระบบอุตสาหกรรมอัตโนมัติและเพิ่มประสิทธิภาพดาต้าเซ็นเตอร์และระบบอาคารอัตโนมัติเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านความยั่งยืนและการส่งเสริมนวัตกรรมในตลาดอาเซียนที่กำลังเติบโต