เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกทม.(ดินแดง) นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สี่ (ครั้งที่ 1) ประจำปี 2567 โดยมี สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร(กทม.) คณะผู้บริหารกทม. หัวหน้าส่วนราชการ และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ซึ่งก่อนเริ่มการประชุม ประธานสภากทม.นำคณะสมาชิกสภากทม. คณะผู้บริหารกทม. ร่วมยืนไว้อาลัยเพื่อแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้รถบัสทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี และขอส่งกำลังใจให้ผู้ได้รับบาดเจ็บมีอาการดีขึ้น โดยยืนไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที

สำหรับการประชุมในวันนี้ นางอนงค์ เพชรทัต สมาชิกสภากทม.เขตดินแดง ได้ยื่นกระทู้ถามสด เรื่อง แนวทางการรับมืออุบัติภัยเฉพาะหน้าของกทม.ว่า จากกรณีรถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนประสบอุบัติเหตุและเกิดเพลิงไหม้ ทำให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ส่งผลกระทบด้านจิตใจต่อผู้ประสบเหตุรวมถึงครอบครัวด้วย ซึ่งอุบัติเหตุเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และในกทม.มีรถรับ-ส่งนักเรียนเป็นจำนวนมาก ทั้งโรงเรียนสังกัด กทม. หรือสังกัดอื่นที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ทางกทม.มีการตรวจสอบสภาพรถ รวมถึงความพร้อมด้านอื่นๆ ของยานพาหนะเหล่านี้หรือไม่ และเด็กเล็กมีโอกาสได้เรียนรู้การป้องกันภัยในเหตุเฉพาะหน้าหรือไม่อย่างไร หากมีแนวทางการรับมืออุบัติภัยเฉพาะหน้าจะทำให้ลดความสูญเสียดังกล่าวได้

นายสุริยชัย รวิวรรณ ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(สปภ.) กทม. ชี้แจงว่า กทม.มี 3 หน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยมี สำนักการจราจรและขนส่ง ดูแลเรื่องความปลอดภัยทางถนน จะดำเนินการพิจารณาและปรับปรุงทางกายภาพ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสถานีตำรวจในพื้นที่

ด้าน สปภ. มีหน้าที่ในการเตรียมความพร้อมการช่วยเหลือในการเผชิญเหตุต่างๆ รวมถึงตรวจสอบอุปกรณ์กู้ชีพให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และสำนักการแพทย์มีหน้าที่ในการเตรียมหน่วยแพทย์ โดยมีหน่วยเอราวัณในการรับแจ้งเหตุและส่งหน่วยแพทย์เข้าพื้นที่ที่เกิดเหตุ ทั้งบนถนนและอาคารบ้านเรือนต่างๆ ภายใน 2 นาที หลังได้รับแจ้งเหตุ ส่วนด้านการเตรียมความพร้อมสำหรับเด็กนักเรียนในการทัศนศึกษา สำนักการศึกษา มีการจัดให้มีการทัศนศึกษาในบริเวณที่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก

รวมถึงการเดินทางโดยรถรับส่งนั้นได้มีการกำหนด TOR ในการหาผู้รับจ้างโดยรถรับส่งต้องมีมาตราฐานเป็นไปตามกฎหมายของกรมขนส่งทางบก และต้องมีรถนำขบวนตลอดเส้นทางเพื่อให้มีเจ้าหน้าที่ดูแลทั้งไปและกลับรวมถึงจำกัดความเร็วของรถรับส่ง และในวันนี้กทม.จะส่งเจ้าหน้าที่ร่วมอำนวยความสะดวกกับหน่วยพิสูจน์หลักฐานของตำรวจในการเคลื่อนย้ายรถเพื่อตรวจสอบ และจะได้ถือโอกาสนี้จะนำข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบมาปรับใช้ในการกำหนดเรื่องความปลอดภัยให้มากขึ้น

นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันรถบัสและรถทัวร์ของกทม.มีกองโรงงานช่างกลตรวจสอบสภาพรถเป็นประจำ และการใช้รถรับส่งเพื่อไปทัศนศึกษาของสำนักการศึกษาจะมีคณะกรรมการกำหนด TOR ให้มีรถตำรวจนำขบวนเพื่อจำกัดความเร็วของรถรับส่ง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง โดยผู้ว่าฯ กทม. ได้สั่งการให้มีการตั้งคณะทำงานร่วม เพื่อพัฒนา TOR ให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเดินทางระยะใกล้หรือไกล ในส่วนของวิชาชีวิตหรือการป้องกันภัยที่สอนให้กับเด็กเล็กนั้น กทม.มีนโยบายในการสอนการว่ายน้ำเพื่อให้เด็กๆ สามารถว่ายน้ำและช่วยตัวเองได้ รวมถึงการฝึกอบรม CPR ให้กับเด็กนักเรียน โดยฝ่ายบริหารจะนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปพัฒนาต่อไป.