สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปอร์โตแปรงซ์ ประเทศเฮติ เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ว่านายโคลด โจเซฟ รักษาการนายกรัฐมนตรีของเฮติ ยื่นหนังสือต่อนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) เมื่อวันศุกร์ เพื่อขอให้มีการพิจารณา "ความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยและความมั่นคง" ในการคุ้มกันระบบโครงสร้างพื้นฐาน และสถานที่สำคัญในเฮติ ไม่ว่าจะเป็นท่าอากาศยานนานาชาติ ท่าเรือ โรงไฟฟ้า และสถานที่ราชการ
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า โจเซฟกล่าวแบบเดียวกันนี้ ระหว่างสนทนาทางโทรศัพท์กับนายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ โดยรักษาการผู้นำเฮติยังคงยืนยันว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะยังคงเกิดขึ้นตามกำหนดการเดิม คือในวันที่ 26 ก.ย.นี้
ทั้งนี้ สถานการณ์ภายในเฮติระส่ำระสายและเผชิญกับการขาดเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปสังหารประธานาธิบดีโฌเวเนล โมอิส ถึงภายในบ้านพัก ที่กรุงปอร์โตแปรงซ์ เมื่อช่วงรุ่งสางของวันพุธที่ผ่านมา ส่วนนางมาร์ทีน โมอิส ภริยาและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บสาหัส และมีการส่งตัวไปเข้ารับการรักษาต่อที่สหรัฐ
ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติของเฮติให้ข้อมูลว่า กลุ่มคนร้ายมีทั้งสิ้น 28 คน แบ่งเป็นทหารรับจ้างชาวโคลอมเบีย 26 คน และพลเมืองเฮติ-อเมริกัน 2 คน โดยเจ้าหน้าที่จับกุมได้แล้ว 17 คน รวมถึงชาวอเมริกันทั้งสองคน และวิสามัญได้ 3 ราย หมายความว่ายังคงมีผู้ที่หลบหนีอีก 8 คน
ขณะที่นางเจน ซากี โฆษกหญิงทำเนียบขาว กล่าวว่า รัฐบาลวอชิงตันเตรียมส่งทีมงานพิเศษจากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และสำนักงานสอบสวนกลาง ( เอฟบีไอ ) เดินทางไปยังเฮติโดยเร็วที่สุด แต่ยังปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับการที่มีพลเมืองสหรัฐรวมอยู่ในกลุ่มผู้ถูกจับกุม และรายงานที่ว่า กลุ่มคนร้ายสวมเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐ ( ดีอีเอ ) ในวันก่อเหตุ
ส่วน พล.ต.อ.ฮอร์เก ลูอิส วาร์กาส ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติของโคลอมเบีย กล่าวว่า พนักงานสอบสวนกำลังตรวจสอบ "บริษัทอย่างน้อย 4 แห่ง" ที่เกี่ยวข้องกับ "การว่าจ้าง" กลุ่มมือสังหาร ซึ่งเคยประจำการในกองทัพระหว่างปี 2561-2563 เบื้องต้นมีการเปิดเผยเพียงว่า คนร้าย 2 คนเดินทางเข้าเฮติ ผ่านปานามาและสาธารณรัฐโดมินิกัน และอีก 11 คน เดินทางเข้ามาในเฮติพร้อมกัน เมื่อวันที่ 4 ก.ค.ผ่านทางโดมินิกัน.
เครดิตภาพ : AP, REUTERS