วันที่ 3 สิงหาคม 2567 เวลา 16.00 น. นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่สหกรณ์การเกษตรประตูป่า จำกัด ต.ประตูป่า อ.เมือง จ.ลำพูน เพื่อติดตามการรับซื้อและส่งออกลำไย และปล่อยคาราวานรับซื้อลำไย กระทรวงพาณิชย์ พันธมิตรเชื่อมโยงพืชรอง “คนตัวใหญ่ ช่วยคนตัวเล็ก by MOC รับซื้อลำไย @ลำพูน”
นายภูมิธรรม เปิดเผยว่า ตนได้ให้นโยบายกระทรวงพาณิชย์เดินหน้ามาตรการบริหารจัดการผลไม้ปี 2567 ดูแลผลไม้อย่างใกล้ชิด โดยล่าสุด เป็นคิวของลำไยภาคเหนือที่กำลังออกสู่ตลาด จึงได้ประสานผู้ประกอบการจำนวน 16 ราย คือ ห้างค้าส่ง-ค้าปลีก ได้แก่ Tops, Go Wholesale, The Mall, Makro, Lotus และ Big C ผู้รวบรวม ได้แก่ บจก.วาย โช ฟรุ๊ต, บจก.เอฟแอลเอ็น กู๊ดส์ ผู้ส่งออก ได้แก่ บจก.มาตา เทรดดิ้ง, บจก.เอ็มที ฟรุ๊ตแลนด์ และบจก.มิสเตอร์ฟรุ๊ตตี้ โรงงานแปรรูป ได้แก่ บจก.สตูดิโอ จี บาร์ และ บจก.นานาฟรุ๊ต เข้าไปรับซื้อผลผลิตลำไยจากเกษตรกร และเร่งระบายลำไยออกจากแหล่งผลิต
โดยวันนี้ได้จัดส่งลำไยกระจายไปยังจุดต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ปล่อยคาราวานลำไยกว่า 45 ตัน ไปยังห้างสรรพสินค้าโรบินสัน และเซ็นทรัล หมู่บ้าน คอนโดมิเนียม นิคมอุตสาหกรรม สถานีโทรทัศน์ ศูนย์ราชการ แหล่งชุมชน และผ่านรถโมบายพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภค และนักท่องเที่ยว ได้บริโภคลำไยคุณภาพจากแหล่งผลิตได้พร้อมกันทั่วประเทศ
หลังจากนี้ จะประสานสถานีบริการน้ำมันรายใหญ่ อาทิ PT, PTT Station, เชลล์, บางจาก และอีกหลายแห่ง ให้เข้ามาช่วยซื้อผลผลิตลำไย และนำไปเป็นของสมนาคุณ เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนที่เข้ามาเติมน้ำมัน ซึ่งจะช่วยเร่งระบายผลผลิตให้กับเกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง
“เมื่อวานนี้ตนทานข้าวกับทูตอินเดีย คุยกันเรื่องลำไย ตอนนี้คนอินเดียเริ่มคุ้นเคยกับลำไย ซึ่งเป็นโอกาส เพราะอินเดียมีประชากรถึง 1,400 ล้านคน และจีนมีประชากรถึง 1,200 ล้านคน รวมกัน 2,600 ล้านคน ครึ่งหนึ่งของประชากรโลก ก่อนหน้านี้ตนได้ตั้งทีมจีนเพื่อเจาะตลาดจีนในรายมณฑล จากนี้ตนจะตั้งทีมอินเดียในการขายสินค้าไทย และผลไม้ไทยที่มีศักยภาพ กระทรวงพาณิชย์มุ่งมั่นที่จะเปิดตลาดให้พวกท่าน ที่สำคัญต้องซื่อสัตย์และรักษาคุณภาพ รัฐจะช่วยเหลือเกษตรกรในการเปิดตลาดและสร้างความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ขอให้ท่านทำสินค้าคุณภาพ เพื่อให้ได้ราคาสินค้าดีขึ้น จะได้ขายผลไม้ได้ราคาดีทุกปี” นายภูมิธรรม กล่าว
ข้อมูลจากกรมการค้าภายใน ระบุว่าจากนี้ มีแผนที่จะเพิ่มช่องทางใหม่ๆ ในการดูดซับผลผลิต โดยจะเน้นเรื่องการนำไปแปรรูปเป็นลำไยแกะเปลือกแกะเม็ด ซึ่งจะทำให้ตลาดลำไยกว้างขึ้น และสามารถเก็บผลผลิตได้นานขึ้น โดยลำไยที่แปรรูปแล้ว สามารถนำไปทำเป็นของหวาน ของทานเล่น และมีโอกาสในการขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้น สามารถบุกทะลวงไปถึงยุโรปและอเมริกาได้
ขณะเดียวกัน จะช่วยลดต้นทุนให้กับเกษตรกร ในการทำตลาดทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ โดยร่วมมือกับไปรษณีย์ในการจัดส่งสินค้าให้กับเกษตรกร และช่วยเหลือโดยการแจกกล่องขนาดบรรจุ 10 กิโลกรัม ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือ เพิ่มเป็น 80,000 กล่อง จากปีที่แล้ว 30,000 กล่อง ซึ่งจะทำให้เกษตรกร มีโอกาสทำตลาดเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งในปีนี้ผลผลิตลำไยภาพรวมของประเทศ ทั้งในฤดูและนอกฤดู จะมีปริมาณ 1.44 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2% เป็นผลผลิตทางภาคเหนือประมาณ 1 ล้านตัน โดยผลผลิตจะออกมากช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. ซึ่งได้เตรียมมาตรการรับมือไว้พร้อมแล้ว ทั้งประสานผู้ส่งออก ผู้รวบรวมในและนอกพื้นที่เข้าไปซื้อ ทำอบแห้งเป้าหมาย 1 แสนตัน ดึงปั๊มน้ำมันซื้อไปเป็นของสมนาคุณ และจัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคทั่วประเทศ และผลักดันให้มีการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดใหม่อย่างอินเดีย และปัจจุบันสถานการณ์ราคาอยู่ในเกณฑ์ดี เกรด AA อยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 38 บาท ช่วงที่ผ่านมา สูงถึง 40 บาท/กก. สูงกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด กำกับดูแลให้มีการปิดป้ายรับซื้อให้ชัดเจน และป้องกันการฉวยโอกาสกดราคาต่อไป