แม้ว่าที่ผ่านมาหลายคนมองตรงกันว่า การเคลื่อนไหวของ “เถ้าแก่ใหญ่”ไม่ได้ส่งผลในทางบวกกับพรรคเพื่อไทย ต่อลูกสาวของตัวเอง ที่เป็นหัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯ ล้วนแล้วแต่ ถดถอยลง รวมไปถึงรัฐบาลแม้แต่น้อย เพราะภาพในเรื่อง “อภิสิทธิ์ชน” ท่ามกลางความรู้สึกว่า “คนต้องเท่ากัน” ในยุคสมัยใหม่ ไม่ได้ลบล้างสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแบบนี้ในอดีต
ท่ามกลางกระแสสะพัดว่า “นายใหญ่” ซึ่งอยู่ระหว่างถูกคุมความประพฤติระยะเวลา 6เดือน ซึ่งครบกำหนดพักโทษเดือนส.ค.นี้ และจะได้รับการอภัยโทษ โดย ‘อธิบดีกรมราชทัณฑ์‘ ออกมาระบุว่า ”นายทักษิณเมื่อครบกำหนดการพักการลงโทษแล้ว กรมราชทัณฑ์จะดำเนินการออกใบบริสุทธิ์ให้ และจะได้รับการปล่อยตัวจากสถานที่ที่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน หรือเรียกว่าเป็นผู้พ้นโทษได้รับการปล่อยตัวตามกฎหมายได้ ไม่ต้องมาที่ราชทัณฑ์อีก“
แน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นคำถามที่ใครหลายๆคนคาใจ และสังคมตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ในเชิงหมั่นไส้ มากขึ้นเรื่อยๆ สร้างความเสื่อมถอยและกระทบต่อเครดิตตัวเอง กระทบเชื่อมโยงไปถึงพรรคเพื่อไทย และรัฐบาล ที่นำโดย “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ “ทักษิณ“ เคยโชว์พาวเดินเข้าพรรคเพื่อไทย พร้อมประกาศเป็นที่ปรึกษาให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
จนใครๆตั้งคำถามตามมาว่าจะข้ามเส้นเป็นที่ปรึกษาของนายกฯด้วยหรือไม่ งานนี้ “ผู้นำประเทศ” ออกอาการตีชิ่งแก้เก้อว่า “พอดียังไม่ได้ฟังการให้สัมภาษณ์ของท่าน และท่านให้สัมภาษณ์ว่าอย่างไรบ้าง แต่ยังไม่มีแนวคิดและการพูดคุยกันว่าจะเชิญอดีตนายกฯ ซึ่งหากพ้นโทษแล้วมาเป็นที่ปรึกษานายกฯ เพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีการพูดคุยกันตลอดเวลาในเรื่องของการทำงานอยู่แล้ว และผมเคยชี้แจงไปแล้ว ผมไม่มีโอกาสได้พบปะกับอดีตนายกรัฐมนตรีหรือ แต่ไม่ว่าจะใครก็ตามที่มีข้อเสนอแนะที่ดีผมก็ยินดีรับฟัง“
แน่นอนว่าปฏิกิริยาสังคมตีกลับประเด็นดังกล่าว ผู้นำจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทยเองไม่รู้ชะตากรรมว่ารัฐบาลเพื่อไทยจะอยู่ในอำนาจอีกนานแค่ไหน ฉะนั้นในสภาวะการณ์เช่นนี้ต้องทำทุกทางเพื่อดิ้นสู้ปูทางหาทางรอด เพราะการเลือกตั้งรอบหน้าก็ยังไม่เห็นอนาคตที่สดใสรออยู่ ตามเงื่อนไขความจำเป็นดีลลับกลับบ้านของ “นายใหญ่”ในครั้งนี้.