นักสู้ฮีโร่จากอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ไปบอกเล่าชีวิตส่วนตัวของเขากับรายการ “เจาะใจ” พร้อมกับ เปิดเผยสิ่งที่หลาย ๆ คนไม่รู้ว่า กว่าจะมาเป็น “ซุปเปอร์เล็ก” แบบทุกวันนี้ กว่าจะมาถึงค่าตัว 7 หลัก ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ทั้งสมหวังและผิดหวังมากมายเต็มไปหมด
เจ้าของฉายา “เครื่องจักรจอมเตะ” เล่าว่าในวัยเด็กสมัยเดินสายต่อยแทบภูธรภาคอีสานเริ่มต้นจากการเป็นมวยฝีมือ แต่เกิดมีปัญหาบาดเจ็บที่ขาอยู่พักใหญ่ จึงทำให้ต้องเปลี่ยนสไตล์การชกไปจากเดิม ก่อนจะกลับมาเป็นมวยฝีมือที่เห็นกันแบบทุกวันนี้
“ผมเดินสายชกตามภูธร ไปมาหมดครับ ภาคอีสาน ภาคเหนือ ส่วนภาคใต้ไปครั้งเดียว ในช่วงแรกของอาชีพผมเป็นมวยฝีมือ แต่ผมเจ็บขาหนักมากเลยเปลี่ยนมาเป็นมวยเข่า พอขาหายเจ็บ ก็มาเป็นมวยฝีมือเหมือนทุกวันนี้”
นอกจากนี้ เจ้าตัวยังเล่าว่าการเข้ามาชกในกรุงเทพฯ ครั้งแรกเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงอายุ 14-15 ปี แต่ไม่ได้สมหวังอย่างที่ตั้งใจไว้ จนทำให้กลับไปชกภูธรอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ชนะใครอีกมาก แต่ก็ไม่เคยมีวินาทีไหนที่อยากจะเลิกมวยแม้แต่ครั้งเดียว
“อายุ 14-15 ปี ผมเข้ากรุงเทพฯ ชกที่เวทีลุมพินี ชกหลังคู่เอก มาชก 3-4 ไฟต์ ไม่ชนะเลย เลยกลับไปเดินสายตามภูธร ก็แพ้อีก 4 ไฟต์ รวมเป็นแพ้ 8 ไฟต์ติด โดนตายาย ด่า แต่เขาก็ให้กำลังใจ จนมาถึงวันนี้”
แน่นอนว่าบนสังเวียน ONE ผลงานของ “ซุปเปอร์เล็ก” เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าความมุมานะและความพยายามของเขาส่งผลลัพธ์อย่างไร จากมวยภูธรในวันนั้นกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกไปเป็นที่เรียบร้อย และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักชกคิกบ็อกซิ่งเก่งที่สุดแบบปอนด์ต่อปอนด์ในระดับโลกอีกด้วย
ติดตามข่าวสารและความคืบหน้าของ ONE ได้ที่เฟซบุ๊ก ONE Championship Thailand เว็บไซต์ ONEFC.com และอินสตาแกรม ONEChampTh