สัปดาห์ที่แล้วมีข่าวสะเทือนใจ! ยายวัย 71 ปี ฐานะยากจนที่ จ.ฉะเชิงเทรา ยอมกระโดดลงแม่น้ำบางปะกง เพื่อคว้าแบงก์พันที่ปลิวออกจากกระเป๋าเสื้อลอยตามลมตกลงไปในน้ำ ทั้งที่แกว่ายน้ำไม่เป็น เนื่องจากเป็นเงินก้อนสุดท้าย หวังเอาไปซื้อข้าวของประทังชีวิตในครอบครัว แต่เงินกลับจมหายไปต่อหน้า แต่ยังโชคดีมีพลเมืองดีมาช่วยไว้ทัน ไม่งั้นคงจมน้ำเสียชีวิตไปแล้ว

หันมาอีกข่าวเห็นผลประกอบการของ 10 ธนาคารพาณิชย์ ช่วง 9 เดือนของปี 66 ฟาดกำไรช่วง “ดอกเบี้ยขาขึ้น” กันสะดือบาน 1.81 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้มี 8 ธนาคาร มีกำไรมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตั้งแต่ 1-41%

เป็นสภาพธนาคารพาณิชย์ที่ฟันกำไรกันมากมายจริงๆ ในภาวะสังคมไทยมีความ “เหลื่อมล้ำ” ทางฐานะกันสูงมาก เนื่องจาก 9 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตเฉลี่ยแค่ 1.8% อยู่อันดับรั้งท้ายของอาเซียน หนี้สาธารณะทะยานขึ้นไป 9-10 ล้านล้านบาท หนี้ครัวเรือน 15 ล้านล้านบาท

รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกพ.ร.ก.ขอกู้เงินนอกงบประมาณ 2 ครั้ง ทั้งที่งบประมาณปกติก็ติดลบแดงเถือก!ทุกปี โดยครั้งแรกกู้ 1 ล้านล้านบาท ตามมาอีก 5 แสนล้านบาท มาทำโครงการต่าง ๆ และแจกประชาชนหลายรอบแบบเบี้ยหัวแตก แต่ยิ่งแจก ยิ่งจน จากการเพิ่มจำนวนของบัตรคนจน และหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

นายกฯ เตือนผู้เดินทางจากตปท.เข้ากักตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน : อินโฟเควสท์

ตอนนั้นไม่ค่อยได้ยินเสียงคนใน “แบงก์ชาติ-สภาพัฒน์” ออกมากระตุกขา พล.อ.ประยุทธ์ หรืออาจจะมีแต่แผ่วเบามาก จนทุกวันนี้คนไทยหลากหลายอาชีพต้องจมปลักอยู่กับกองหนี้ ส่งผลให้บ้าน-รถยนต์ถูกยึดกันเยอะ ยิ่งมาเจอช่วง “ดอกเบี้ยขาขึ้น” คนที่มีภาระส่งค่างวดผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์-รถจักรยานยนต์ จึงแทบเอาขาขึ้นก่ายหน้าผาก!

แต่เมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ เขาหาเสียงไว้ว่าจะแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ประมาณ 5.6 แสนล้านบาท รวมทั้งการบริหารขับเคลื่อนประเทศในด้านอื่น เพื่อดัน “จีดีพี” ให้โตปีละ 5% เขาต้องทำตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้

ที่สำคัญต้องแจกเงินดิจิทัลฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ในช่วงที่ยังไม่มีงบประมาณปี 67 มาทำโครงการต่างๆ ซึ่งนักการเงินการคลัง นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ ต่างทราบกันดีว่าช่วงต้นปี 66 เคยคาดการณ์ว่า “จีดีพี” เฉลี่ยทั้งปี 66 จะโตเกิน 3%

แต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน ยังไม่ได้เป็นนายกฯเลย! ทั้งแบงก์ชาติ-สภาพัฒน์ และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศ ไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย พากันถอยกรูด! ปรับลดจีดีพีทั้งปี เหลือแค่ 2.5%

แต่พอรัฐบาลนายเศรษฐาจะ แจกเงินดิจิทัลฯ ก็ต้องประชุมรับฟังความเห็นของหลายฝ่ายมาแล้วหลายรอบ ก่อนที่นายกฯจะแถลงความชัดเจนของโครงการดังกล่าวเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา

แต่ก่อนนายกฯแถลง ได้มีการประชุมคณะกรรมการการเงินการคลัง โดยมีบรรดา “นักรบในห้องแอร์” ตั้งด่านคัดค้านว่าไม่จำเป็นต้องแจก เพราะยังไม่มีความจำเป็นถึงขั้นวิกฤติเศรษฐกิจ

ก็ไม่รู้จริง ๆ ว่านักรบในห้องแอร์จินตนาการเอาเอง หรือว่าไปเดินสำรวจตามตลาดนัด ตลาดสด และสภาพการจับจ่ายใช้สอยในต่างจังหวัดมาแล้ว!

หนักไปกว่านั้น! มีบางคนก้มหน้า ก้มตาอ่านสคริปต์ เปรียบเทียบการแจกเงินดิจิทัลฯ กับโครงการจำนำข้าวไปโน่น! 555 ซึ่งไม่รู้ว่าใครร่างสคริปต์มาให้อ่าน? โดยไม่ได้ทำการบ้านว่าจำนำข้าวมีปัญหาปลายทาง คือการระบายข้าว “จีทูจี” ซึ่งมีปัญหากันหลายรัฐบาล

แต่ภาพรวม ๆ หลังรัฐประหาร มีคนใหญ่โตพูดว่า “ไม่ต้องให้ความเป็นธรรมคดีจำนำข้าว” มีการบันทึกไว้ในที่ประชุม และ รมว.คลังรัฐบาล คสช. แจ้งต่อคณะรัฐมนตรีว่าจำนำข้าวใช้เงินเท่าไหร่ ยังอยู่ในกรอบวินัยการคลัง ตอนทำรัฐประหารมีข้าวสารอยู่ในโกดัง
18 ล้านตัน แล้วมาจัดเกรดข้าวขาย นำไปขายเป็นอาหารสัตว์กัน ไม่ใช่หรือ?

การแจกเงินดิจิทัลฯ หากจะนำไปเปรียบเทียบ ก็ต้องประกบเทียบเคียงกับการกู้เงินมาแจกในยุค “รัฐบาลประยุทธ์” ส่วนจำนำข้าว ถ้าอยากขุดขึ้นมากล่อมประสาทกันเรื่อย ๆ ก็ต้องเปรียบเทียบกับโครงการซื้อ เรือดำน้ำ ในรัฐบาล คสช. “จีทูจี-มีเงินทอน” จริงหรือเปล่า? คนไทยตั้งคำถามกันเยอะแล้ว ป.ป.ช.!!.

————————–
พยัคฆ์น้อย