สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ว่านายฌอง-อีฟว์ เลอ ดริยง รมว.กระทรวการต่างประเทศของฝรั่งเศส กล่าวในรายการสัมภาษณ์ของสถานี "ฟร็องซ์ 2" เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการที่รัฐบาลปารีสเรียกตัวเอกอัครราชทูตประจำสหรัฐและออสเตรเลียให้เดินทางกลับประเทศ "ด่วนที่สุด" นั้น "มีความหมายอย่ามีนัย" ที่เป็นการบ่งชี้ "ความรุนแรงของสถานการณ์ซึ่งกำลังเกิดขึ้น" ระหว่างฝรั่งเศส กับสหรัฐ และออสเตรเลีย โดยเลอ ดริยง เน้นด้วยว่า "เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์" ที่ฝรั่งเศสซึ่งถือเป็นพันธมิตรเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐ เรียกกลับเอกอัครราชทูตประจำกรุงวอชิงตัน
เมื่อผู้ดำเนินรายการซักถาม เกี่ยวกับการที่นายแอนโทนี บลิงเคน รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า "มีการปรึกษาหารือล่วงหน้า" ระหว่างเจ้าหน้าที่การทูตของทั้งสองประเทศ ก่อนมีการประกาศการจัดตั้งพันธมิตร "ออคัส" ร่วมกับสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว โดกรอบความร่วมมือของทั้งสามประเทศรวมถึงการที่ออสเตรเลียรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเรือดำน้ำจากอีกสองประเทศ เลอ ดริยง กล่าวว่า "เป็นเรื่องโกหก การตีสองหน้า และการละเมิดความเชื่อมั่น" พร้อมทั้งย้ำว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น "ไม่ใช่วิสัยของพันธมิตร" 
นายฌอง-ปิแอร์ เทโบลต์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำออสเตรเลีย ที่สนามบินซิดนีย์
ในอีกด้านหนึ่ง นายฌอง-ปิแอร์ เทโบลต์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงแคนเบอร์รา กล่าวระหว่างเตรียมตัวเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติซิดนีย์ ว่าออสเตรเลีย "ทำพลาดครั้งร้ายแรง" และจัดการความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี "ได้อย่างเลวร้าย"
ทั้งนี้ ฝรั่งเศสและออสเตรเลียลงนามร่วมกันในข้อตกลงสร้าง "กองเรือดำน้ำ" มูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 1.3 ล้านล้านบาท ) จะเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีอุปสรรค หลังลงนามร่วมกันเมื่อปี 2559 และกำหนดส่งมอบเรือดำน้ำลำแรกจากทั้งหมด 12 ลำ คือภายในปี 2570.

เครดิตภาพ : AP