นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะทำงานกลุ่มมาตรการสำหรับการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่ ภายใต้คณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้มีข้อเสนอเปิดเมืองปลอดภัย เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเสริมจากการผ่อนคลายการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของภาครัฐว่า จากการศึกษาแนวทางการเปิดประเทศของหลายประเทศทั้ง TDRI และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า การพิจารณาสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 นั้น หลายประเทศไม่ได้เน้นตัวเลขจำนวนคนติดเชื้อเป็นหลัก แต่ได้พิจารณาจากตัวเลขผู้ป่วยสีเหลือง-แดง จำนวนผู้เสียชีวิต หรือจำนวนเตียงที่พร้อมรับ

รวมถึงเน้นข้อมูลการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ซึ่งรัฐบาลควรมีการเปิดเผยสถิติรายพื้นที่ในข้อมูลเหล่านี้ เพื่อช่วยกันให้ข้อมูลทำความเข้าใจกับประชาชน และอาศัยช่วงเวลานี้เร่งสื่อสารทำความเข้าใจให้เกิดความเชื่อมั่นเพื่อไม่ให้เกิดความกังวล โดยประชาชนสามารถดำเนินชีวิตและทำธุรกิจในช่วงที่มีการระบาดอย่างปลอดภัย โดยหอการค้าไทย รวมถึงสถาบันทางวิชาการ ภาคเอกชนยินดีช่วยสื่อสารสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน 

“การสื่อสารเรื่องจำนวนการจัดหาวัคซีนควรจะชัดเจน ตามแผนการจัดหาวัคซีน โดยในเดือนกันยายนนี้ เริ่มจะมีปริมาณมากขึ้น จึงต้องเร่งสร้างความมั่นใจและกระจายวัคซีนให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุ, โรคประจำตัว, ตั้งครรภ์) เพื่อลดอัตราการป่วยหนัก โดยภาคเอกชนพร้อมที่จะสนับสนุนการกระจายวัคซีนให้ประชาชน ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนของโครงการไทยร่วมใจในพื้นที่ กทม. คาดว่าจะมีการเปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มเติมเพื่อเก็บตก ควบคู่ไปกับการเร่งฉีดเข็มที่ 2”

สำหรับมาตรการการเปิดดำเนินการ COVID FREE SETTING ของภาครัฐ ทั้งในเรื่องการจัดเตรียมสถานประกอบการให้ได้ตามมาตรฐาน การฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ หรือการมีผลตรวจ ATK นั้น ครั้งนี้เป็นมาตรการขอความร่วมมือ ที่ไม่ได้บังคับเต็มรูปแบบ เนื่องจากความไม่พร้อมหลายอย่าง และมีปัญหาด้านการควบคุมมาตรการต่าง ๆ ดังนั้นควรมีการจัดการวางรูปแบบการจัดการที่สามารถปฏิบัติได้จริง โดยเฉพาะเรื่อง ATK ในราคาให้เหมาะสม และรูปแบบการบันทึกข้อมูลที่เชื่อถือได้นอกจากนั้น ในเรื่องระบบ Digital Health Pass ที่ภาคเอกชนนำเสนอ เพื่อเป็นเครื่องมือในการควบคุมการแพร่ระบาดนั้น หากภาครัฐจะใช้ระบบของกระทรวงสาธารณสุข หรือระบบหมอพร้อมเป็นหลัก ก็ควรวางแผนเพื่อรองรับการใช้งานจำนวนมากและเชื่อมข้อมูลกับต่างประเทศให้ได้

แต่หากระยะแรก ระบบไม่สามารถรองรับการใช้งานจำนวนมากได้ ก็ควรใช้เฉพาะบางกิจการที่มีความเสี่ยงหรือบางพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น ซึ่งภาครัฐควรมีการวางแผนเตรียมการระยะยาว เพื่อให้รองรับการใช้งานให้ได้หลายกรณีรวมถึงครอบคลุมถึงคนต่างชาติด้วย

“หอการค้าไทยเชื่อว่า ทุกฝ่ายกำลังพยายามทำงานกันอย่างหนัก เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ แต่หากมีการระบาดเพิ่มขึ้นมาอีกรอบ ก็ควรพิจารณาจากข้อมูลที่มีอยู่อย่างรอบคอบ และควรกำหนดการปิดพื้นที่เป็นโซน ไม่ควรกำหนดปิดทั้งจังหวัด เช่น ปิดเป็นบางเขต บางอำเภอ หรือปิดเฉพาะพื้นที่ที่เป็น Super spreader เท่านั้น โดยพื้นที่ที่ควรเน้นการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ ตลาด โรงงาน และแคมป์คนงาน”