วันที่ 17 พ.ค. 2565 สื่ออังกฤษรายงานสถานการณ์ของโรคฝีดาษลิง (Monkeypox) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีต้นกำเนิดจากแถบแอฟริกา ว่าเจ้าหน้าที่หน่วยสาธารณสุขของอังกฤษตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 4 ราย รวมเป็นจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดในปัจจุบัน 7 รายด้วยกัน
ผู้ป่วยใหม่ทั้ง 4 ราย เป็นชายในกลุ่มเกย์และไบเซ็กชวล พวกเขาติดเชื้อในเขตลอนดอนและไม่มีความเชื่อมโยงกับแอฟริกาแต่อย่างใด ในจำนวนนี้มีผู้ป่วย 2 คนที่รู้จักกัน แต่ไม่รู้จักกับผู้ป่วยในกรณีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เท่ากับยืนยันว่าไวรัสดังกล่าวเริ่มแพร่กระจายในชุมชน ในขณะที่ทีมแพทย์-พยาบาล ได้รับคำเตือนให้ระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อพบผู้ป่วยที่มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า ผื่นจากโรคฝีดาษลิงเป็นเพียงอาการของผื่นแพ้ธรรมดาของโรคอื่น ๆ ซึ่งทำให้วินิจฉัยโรคได้ยากขึ้น
สำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร ประกาศเมื่อวันที่ 7 พ.ค. ว่า พบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรก ซึ่งมีประวัติการเดินทางไปยังประเทศไนจีเรียและติดเชื้อมาจากที่นั่น ก่อนที่จะเดินทางกลับมายังอังกฤษ ต่อมาก็ตรวจพบผู้ป่วยอีก 2 ราย ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยรายแรก
ดร.ซูซาน ฮอปกินส์ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาของสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นนี้เป็นกรณีที่หาได้ยากและไม่ปกติ ขณะนี้หน่วยงานกำลังเร่งสืบสวนที่มาของการติดเชื้อ เนื่องจากหลักฐานที่มีอยู่ในตอนนี้ บ่งชี้ว่าอาจเริ่มมีการแพร่เชื้อไวรัสดังกล่าวในชุมชนท้องถิ่น ซึ่งประชาชนสามารถติดเชื้อได้ด้วยการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
นอกจากนี้ ดร.ฮอปกินส์ ยังแนะนำให้กลุ่มผู้ชายที่เป็นเกย์และไบเซ็กชวลระมัดระวังตัวเองเป็นพิเศษ หากมีผื่นขึ้นตามผิวหนังหรือเกิดแผลที่ผิวหนังอย่างผิดปกติ ให้รีบติดต่อแพทย์โดยด่วน
หลังจากตรวจเชื้อในตัวผู้ป่วยทั้ง 7 ราย พบว่าพวกเขาติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก ซึ่งมีฤทธิ์ไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์อื่น ๆ กระนั้นไวรัสประเภทก็ยังสามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ โดยมีอัตราการตายของผู้ป่วยราว 1 ใน 10 คน
ไวรัสของโรคฝีดาษลิงแพร่กระจายทางละอองฝอย เข้าสู่ร่างกายคนได้ทางระบบทางเดินหายใจ และสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วยเป็นเวลานาน ต้นตอของไวรัสแต่เดิมมาจากสัตว์จำพวกลิง หนู และกระรอก รวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กประเภทอื่น ๆ ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อจะมีไข้และเกิดผื่นหรือตุ่มหนองขึ้นตามผิวหนัง
แหล่งข่าว : dailymail.co.uk
เครดิตภาพ : Getty Images