สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ว่า กองทัพอิสราเอลออกแถลงการณ์ ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ในเลบานอน “ตอบสนองต่อภัยคุกคามฉับพลัน” ที่เกิดขึ้นราว 50 เมตร ห่างจากฐานปฏิบัติการของกองกำลังชั่วคราวสหประชาชาติในเลบานอน (ยูนิฟิล) ที่เมืองนากูรา ทางตอนใต้ของประเทศ ส่งผลให้ทหารรักษาสันติภาพชาวศรีลังกาได้รับบาดเจ็บสองนาย เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงสองวัน หลังทหารรักษาสันติภาพชาวอินโดนีเซีย 2 นาย ได้รับบาดเจ็บจากการยิงโจมตีของอิสราเอล ซึ่งกองทัพอิสราเอลยืนยันว่า “จะสอบสวน” เหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียด “ในทุกมิติ” แต่ยืนยันว่า มีการแจ้งเตือนให้ทหารรักษาสันติภาพหาที่กำบังแล้ว เนื่องจากมีสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ปฏิบัติการอยู่บริเวณนั้น
อย่างไรก็ตาม นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ของยูนิฟิล ส่วนประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เรียกร้องอิสราเอลยุติปฏิบัติการทางทหาร ใกล้กับค่ายและฐานปฏิบัติการของยูนิฟิลในเลบานอน และนายกรัฐมนตรีไซมอน แฮร์ริส ผู้นำไอร์แลนด์ ซึ่งมีทหารรักษาสันติภาพในเลบานอน 347 นาย จากทั้งหมดราว 10,000 นาย ออกมาเรียกร้องเช่นกัน
ด้านนายอามิส ฮอคชไตน์ ผู้แทนพิเศษของสหรัฐเกี่ยวกับกิจการเลบานอน กล่าวว่า รัฐบาลวอชิงตันกำลังพยายามดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อให้มีการหยุดยิงระยะยาวในเลบานอน
ทั้งนี้ มติที่ 1701 ของยูเอ็นเอสซี ซึ่งยุติสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ เมื่อปี 2546 กำหนดว่า ให้มีการประจำการทหารรักษาสันติภาพของยูเอ็น ร่วมกับทหารของเลบานอน ตามแนว “เส้นสีน้ำเงิน” ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างอิสราเอลกับเลบานอน
ย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ยูนิฟิลเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากอิสราเอล เกี่ยวกับปฏิบัติการภาคพื้นดิน “แบบจำกัด” ในเลบานอน และขอให้ยูนิฟิล เคลื่อนย้ายกำลังพลบางส่วนออกจากค่าย และฐานที่มั่นบางแห่ง
อย่างไรก็ตาม ยูนิฟิลยืนยันว่า ทหารทุกนายยังคงประจำการอยู่ ณ ฐานที่ตั้ง และยังคงมีการเชิญธงสหประชาชาติขึ้นสู่ยอดเสาตามปกติ ทั้งนี้ทั้งนั้น ยูนิฟิลมีแผนการฉุกเฉิน และมาตรการรับมือในยามเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน รวมถึงพร้อมถอนหรือเคลื่อนย้ายกำลังพล “เมื่อเกิดความจำเป็นในระดับสูงสุด”.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES