สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ว่า นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ให้การต้อนรับและพบหารือกับนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ที่ทำเนียบไฮเดอราบาด ในกรุงนิวเดลี เมื่อวันศุกร์ โดยการเยือนอินเดียครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่จอห์นสันดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2562


ทั้งนี้ ผู้นำสหราชอาณาจักรกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า มุ่งมั่นยกระดับความร่วมมือกับอินเดีย ในด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความมั่นคง ปัจจุบันอินเดียเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของรัสเซีย และเสนอการออกใบอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้แก่รัฐบาลนิวเดลี เพื่อลดระยะเวลาดำเนินการนำเข้าและส่งออกสินค้าทางทหาร พร้อมกันนี้ จอห์นสันกล่าวถึงการเจรจาการจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี ( เอฟทีเอ ) ขั้นสุดท้าย ที่จอห์นสันคาดหวังว่า จะสำเร็จภายในเดือน ต.ค.นี้

นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี แถลงร่วมกัน ที่ทำเนียบไฮเดอราบาด ในกรุงนิวเดลี


มูลค่าการค้าระหว่างอินเดียกับสหราชอาณาจักร มีมูลค่า 23,000 ล้านปอนด์ ( ราว 1 ล้านล้านบาท ) เมื่อปี 2562 และจอห์นสันแสดงความเชื่อมั่นว่า หากการเจรจาเอฟทีเอบรรลุผลอย่างเป็นทางการ ความร่วมมือดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการของอินเดีย ในการส่งออกข้าวและผลิตภัณฑ์สิ่งทอไปยังสหราชอาณาจักรด้วย


ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของอินเดียมีแถลงการณ์เพิ่มเติม ในประเด็นเกี่ยวกับยูเครน ว่าจอห์นสัน “ไม่ได้สร้างแรงกดดันในทางใด” ให้แก่โมดี โดยผู้นำสหราชอาณาจักรแสดงทรรศนะของตัวเองในเรื่องดังกล่าว ส่วนผู้นำอินเดียเรียกร้องให้คู่กรณีในสงครามยูเครนยุติการสู้รบทันที


นับตั้งแต่สงครามในยูเครนเปิดฉากเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา จากปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศขนาดใหญ่นอกเหนือจากจีน ซึ่งเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิดของตะวันตก จากการปฏิเสธประณามรัฐบาลมอสโก และอินเดียงดออกเสียงในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี )


ด้านผู้สันทัดกรณีหลายคนวิเคราะห์ว่า อินเดียจะ “เปิดกว้าง” ให้กับการยื่นข้อเสนอเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหราชอาณาจักร แต่ท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลนิวเดลีจะยังคงเลือกข้อเสนอของรัสเซียมากกว่า เนื่องจาก “ราคามิตรภาพ”.

เครดิตภาพ : REUTERS