จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดทำแนวนโยบายภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทยเพื่อเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน (consultation paper) และเปิดรับฟังความเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนในช่วงวันที่ 1-28 กุมภาพันธ์ 2565 นั้น
ในภาพรวม ภาคส่วนต่าง ๆ เห็นด้วยกับหลักคิดของ ธปท. ในการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการบริหารความเสี่ยง เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่าน 3 ทิศทาง คือ (1) เปิดโอกาสให้ภาคการเงินใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและข้อมูล ภายใต้หลักการ 3 open (open competition, open infrastructure และ open data) (2) สนับสนุนให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจการเงินดิจิทัล และรับมือกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน และ (3) กำกับดูแลอย่างยืดหยุ่น และสร้างภูมิคุ้มกันให้ภาคการเงินรับมือกับความเสี่ยงได้อย่างเท่าทัน
โดยส่วนใหญ่เห็นว่า ความท้าทายสำคัญ คือ การผลักดันแนวนโยบายภายใต้ทิศทางดังกล่าวให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ และมีข้อเสนอแนะสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1.ขอให้ ธปท. เร่งให้แนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทาง 3 ด้านของ ธปท. โดยเฉพาะในเรื่อง 1.1 การเปิดให้ผู้เล่นรายเดิมและรายใหม่ แข่งขันกันพัฒนานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะการเปิดให้ขอจัดตั้งธนาคารที่ให้บริการในรูปแบบใหม่บนช่องทางดิจิทัล หรือ virtual bank และการให้ผู้ให้บริการทางการเงินเข้ามาทดลองหรือพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินได้ยืดหยุ่นขึ้น รวมถึงทดลองหรือประยุกต์ใช้สินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อเรียนรู้กลไกและการนำไปเพิ่มมูลค่า ตลอดจนประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อระบบการเงินได้
1.2 การกำกับดูแลที่ยืดหยุ่นเหมาะสมกับความเสี่ยง แต่มีความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ให้บริการที่ประกอบธุรกิจที่มีความเสี่ยงลักษณะเดียวกัน (level playing field) 1.3 การผลักดันให้ผู้เล่นรายใหม่และรายเดิมสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานกลางและข้อมูลได้อย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย 1.4 บทบาทของภาคสถาบันการเงินในเรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรฐานที่สถาบันการเงินต้องปฏิบัติตามในเรื่องนี้
2.ขอให้ ธปท. พิจารณาแนวทางการดูแลความเสี่ยงและผลข้างเคียงอย่างรอบด้าน ได้แก่ 2.1 ดูแลผู้ใช้บริการทางการเงินในช่วงเปลี่ยนผ่าน ไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ การให้ความรู้และคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน โดยเฉพาะบริการทางการเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ที่ผู้ใช้บริการยังไม่คุ้นเคย การมีมาตรการรองรับสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมปรับตัวเข้าสู่การเงินดิจิทัล และไม่พร้อมรับมือกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม และการดูแลไม่ให้ผู้ให้บริการ แข่งขันกันให้สินเชื่อจนทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนรุนแรงขึ้น
2.2 ดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน อาทิ การเปิดให้ผู้เล่นใหม่เข้ามาแข่งขันและเชื่อมต่อกับโครงสร้างพื้นฐานกลาง ที่ต้องกำกับดูแลให้ได้มาตรฐาน เพื่อไม่ให้เป็นจุดอ่อน (weakest link) และส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวม
3.ผลักดันให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นเรื่องระดับประเทศที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และต้องมีสิ่งจูงใจ (incentive) เพื่อช่วยลดต้นทุนของภาคธุรกิจในการปรับตัวไปสู่ดิจิทัลและกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น มาตรการด้านภาษี และช่วยกระตุ้นให้ประชาชนปรับพฤติกรรมทางการเงิน เช่น ใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) หรือการใช้เกม (gamification) ช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือการให้บริการที่จูงใจ และช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ทั้งนี้ ธปท. จะนำความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวมาใช้ประกอบการกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินการด้านต่าง ๆ ภายใต้แนวนโยบายภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทยร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยจะทยอยเผยแพร่เอกสารทิศทางและแนวนโยบายด้านต่าง ๆ ได้แก่ การกำกับดูแลกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับดิจิทัล การพัฒนาระบบการชำระเงินไทย การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของสถาบันการเงิน และร่างหลักเกณฑ์การขออนุญาตจัดตั้ง virtual bank ภายในไตรมาส 2 ปี 2565 และทิศทางของ open banking ประมาณไตรมาส 3 ปี 2565 เพื่อรับฟังความคิดเห็นในแต่ละเรื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป