เมื่อวันที่ 24 ก.ค. นายนัทธี ถิ่นสาคู ส.ส.ภูเก็ต พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความคืบหน้าการเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ในการเปิดประเทศไทยให้สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัว ครบกำหนด 3 สัปดาห์ ตามมาตรการที่กำหนดว่า หลังจากอยู่ในภูเก็ตครบ 14 วัน และตรวจไม่พบเชื้อ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางออกนอก จ.ภูเก็ต ได้ แต่จากการสอบถามผู้ประกอบการท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต พบว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ได้เดินทางไปเที่ยวต่อในจังหวัดอื่น ๆ อย่างที่คาด หลายคนเดินทางกลับประเทศแล้วเพราะมีแผนท่องเที่ยวแค่ใน จ.ภูเก็ต
แต่ก็มีนักท่องเที่ยวต่างชาติบางส่วนที่เดินทางไปยังเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี หลังจากที่โครงการท่องเที่ยว “สมุยพลัส” ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา และบางส่วนก็เดินทางไปที่จังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย ซึ่งก็ทำให้เห็นว่าการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นเป็นความเชื่อมโยงกันหลายจังหวัดเพื่อเป็นการเริ่มต้นเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้ยังมีชาวต่างชาติอีกกลุ่มหนึ่งที่แต่งงานกับคนไทยหรือมีบ้านพักในจังหวัดอื่นๆ ของไทย ที่เดินทางเข้ามาตามโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพื่อใช้ จ.ภูเก็ต เป็นที่กักตัว 14 วันก่อน แทนที่จะกักตัวที่โรงแรมในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ก่อนจะเดินทางไปหาครอบครัวในจังหวัดอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคอีสาน โดยตัวเลขสะสมของนักท่องเที่ยวจากโครงการนี้ประมาณ 8,000 คน และยังคงเหลืออยู่ในพื้นที่อีกประมาณ 5,000 คน โดยในจำนวนนี้ มีนักท่องเที่ยวที่อยู่ครบกำหนดแล้วเดินทางไปจังหวัดอื่นเพียงแค่ 200-300 คน และส่วนใหญ่เดินทางกลับประเทศต้นทางกันหมด
นายนัทธี กล่าวต่อว่า ส่วนที่ผู้ประกอบการรายย่อยอาจจะมองว่าการนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไม่ได้ส่งผลต่อธุรกิจขนาดเล็ก แต่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้น ตนเองมองว่าเดือนนี้ถือได้ว่าจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ที่นักท่องเที่ยวน้อยอยู่แล้ว และการเปิดประเทศในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเตรียมตัวในการรองรับช่วงปลายปีที่จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาอีก จะเห็นได้จากยอดนักท่องเที่ยวที่จองที่พักเข้ามาจนถึงเดือน ก.ย. จำนวนเกือบ 3 แสนรูมไนท์ ซึ่งก็ทำให้เห็นว่าการเปิดประเทศครั้งนี้ประสบความสำเร็จไปส่วนหนึ่ง และที่หลายฝ่ายมีความกังวลว่านักท่องเที่ยวจะมีการนำเชื้อมาแพร่กระจายใน จ.ภูเก็ต นั้น ตนยืนยันว่ามาตรการการตรวจเริ่มต้นตั้งแต่ลงจากเครื่อง โดยพบนักท่องเที่ยวที่ติดเชื้อทั้งหมด 10 ราย ซึ่งก็ได้ดำเนินการนำตัวส่งรักษาทันทีนั้น จึงเท่ากับว่ามีความเข้มงวดในการสกัดกั้นเชื้อที่จะเข้ามาแพร่ระบาดอย่างแน่นอน
นายนัทธี กล่าวต่อว่า สำหรับปัญหาที่พบก็จะมีเพียงนักท่องเที่ยวที่มีภรรยาอยู่ที่ประเทศไทย และไม่ชอบมาตรการการกักตัว 14 วันที่โรงแรม แต่อยากจะกลับไปกักตัวที่บ้าน แต่ก็ได้ดำเนินการตามมาตรการอย่างเข้มงวดโดยไม่ได้อนุญาตให้ออกไป รวมถึงในเรื่องของนักท่องเที่ยวเมื่อมีการรวมกลุ่มกันกินดื่ม ก็จะไม่ยอมสวมใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งก็จะต้องเร่งหาวิธีการจัดการเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ บนพื้นฐานเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุข
“ผมอยากให้รัฐบาลสนับสนุนควบคู่ไปกับการดำเนินการของภาคเอกชน อย่างแรกคือการเร่งประชุมดำเนินการรับรองวัคซีนสปุตนิก ของประเทศรัสเซีย เนื่องจากชาวรัสเซียซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศไทยไม่สามารถเดินทางเข้ามาได้ แต่หากมีรับรองแล้วก็จะทำให้มีท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ถือเป็นนักท่องเที่ยวหลัก แม้ประเทศจีนจะไม่อนุญาตให้ประชากรเคลื่อนย้ายไปที่อื่น แต่หากรัฐบาลทำคู่สัญญาเฉพาะบางเมืองก็จะทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวได้” นายนัทธี กล่าว.