นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ เร่งส่งเสริมให้ผู้ประการไทยใช้สิทธิพิเศษทางภาษีจากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เพื่อขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศจีนและอินเดีย เนื่องจากมีประชากรจำนวนมากติดอันดับ 1 และ 2 ของโลก อีกทั้งมีผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงและนิยมสินค้าของไทย ที่สำคัญทั้งจีนและอินเดียยังเป็นประเทศที่มีเอฟทีเอ ซึ่งจะช่วยสร้างแต้มต่อและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยได้

ทั้งนี้ ล่าสุดในช่วงที่มีสถานการณ์โควิดกำลังแพร่ระบาด กรมฯ ได้ปรับรูปแบบการจัดงานสัมมนาแบบออนไลน์ เรื่อง เอฟทีเอนำเกษตรไทย ทะลุโควิด ตะลุยตลาดมังกรและแดนภารตะ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการด้านสินค้าเกษตร อาหาร และอาหารแปรรูปของไทย รวมถึงเรื่องกลยุทธ์การเจาะตลาดสินค้าเกษตรไปตลาดโลก การปรับปรุงและพัฒนามาตรฐานสินค้าเกษตร การเข้าถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคโควิด-19 แนวโน้มของตลาดจีนและอินเดีย และการใช้สิทธิประโยชน์จากเอฟทีเอ พร้อมทั้งได้แลกเปลี่ยนความเห็นและแนวคิดการสร้างความแตกต่างของสินค้าไทยและเทรนด์อาหารในอนาคต 

นายสินิตย์ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีความตกลงการค้าเสรีกับจีนและอินเดีย ได้แก่ เอฟทีเออาเซียน-จีน เอฟทีเอไทย-อินเดีย และเอฟทีเออาเซียน-อินเดีย ซึ่งส่งผลให้จีนและอินเดียได้ลดและยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าส่งออกส่วนใหญ่จากไทยแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้เปรียบเมื่อต้องแข่งขันกับประเทศอื่น โดยนับตั้งแต่ปี 48-63 ที่ไทยมีเอฟทีเอกับจีน พบว่า การส่งออกของไทยไปจีนขยายตัวถึง 225% ส่วนเอฟทีเอไทยกับอินเดีย ที่มีตั้งแต่ปี 47-63 ก็ขยายตัวถึง 500%   

“เชื่อมั่นว่าเกษตรกรและผู้ประกอบการที่ต้องการขยายตลาดสินค้าเกษตร อาหาร และอาหารแปรรูป จะสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้เพื่อเตรียมความพร้อมส่งออกไปตลาดจีนและอินเดีย รวมทั้งใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอได้ ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงการรักษาคุณภาพมาตรฐานสินค้า และให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นโอกาสสร้างรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ในช่วงสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ได้มากขึ้น”