นายกฤษฎา บุญราช ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป ปิดทองฯได้ปรับบทบาทการทำงานใหม่จากหน่วยงานพัฒนา เป็นการทำงานเชิงรุก โดยแสวงหาความร่วมมือและบูรณาการทำงานร่วมกับภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และสถาบันการศึกษามากขึ้น รวมทั้งเป็นผู้ให้บริการทางวิชาการความรู้ การฝึกอบรม และที่ปรึกษาด้านการพัฒนา เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปมาก

กฤษฎา บุญราช

ทั้งนี้ จะเน้นสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรของโครงการในกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อขยายผลต่อยอดในเชิงธุรกิจในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม หรือเอสอี ผู้ประกอบการเกษตรชีวภาพ เกษตรหมุนเวียน และเกษตรสีเขียว หรือบีซีจี ซึ่งการแสวงหาความร่วมมือ จะเน้นทั้งการทำงาน องค์ความรู้ รวมถึงแหล่งเงินทุนจากทุกภาคส่วนที่ต้องการเห็นภาคเกษตรและชนบทเข้มแข็ง เพื่อทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาก้าวหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือ ทำให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการในพื้นที่ต้นแบบ 7 แห่ง 9 จังหวัด สามารถก้าวจากขั้นอยู่รอดและพอเพียงแล้ว ดังนั้น ในแผนปฏิบัติการระยะที่ 4 (66-70) มีเป้าหมายหลัก คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับกลุ่มและกองทุนที่ชุมชนร่วมกันจัดตั้งและบริหารจัดการเอง ให้เชื่อมโยงกับภายนอกได้ ตามแนวพระราชดำริทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า

“การดำเนินงานในพื้นที่ต้นแบบฯ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่ต้นแบบให้กับประชาชน 5,278 ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ รวมกว่า 109.91 ล้านบาท ทำให้ครัวเรือนทั้งหมด มีรายได้ผ่านเส้นความยากจนระดับประเทศที่ 102,763 บาทต่อครัวเรือนต่อปี”

นายกฤษฎา กล่าวอีกว่า สำหรับรูปแบบของการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน เช่น ภาครัฐทำเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้งบประมาณมากเกินกำลังเกษตรกร เช่น พัฒนาแหล่งน้ำต้นทุน ปิดทองหลังพระฯ เสริมศักยภาพเชิงบริหารจัดการ เช่น ปรับปรุง เสริมศักยภาพกลุ่มผู้ใช้น้ำ ติดตามสนับสนุนความรู้ต่อเนื่อง ภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย และเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ เช่น การเพาะปลูกที่แม่นยำ ความรู้ที่ทันสมัย การวางแผนการปลูกให้ตรงตามความต้องการของตลาด ขณะที่เกษตรกรต้องช่วยตนเองด้วยการยกระดับเป็นผู้ประกอบการ มีการสร้างตราสินค้า และพัฒนามาตรฐานการผลิตให้มีปริมาณ คุณภาพ และความต่อเนื่อง เป็นต้น

“การพัฒนาของปิดทองหลังพระฯ ที่น้อมนำแนวพระราชดำริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ใน 13 ปีที่ผ่านมา เป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า การพัฒนาตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศชาติและประชาชนได้อย่างแท้จริง”