“โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน กุนซือคนใหม่ “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ยอมรับว่า การกลับมาคุมท่าเรืออีกครั้ง จะเจอความกดดันมากขึ้น และงานยากขึ้นกว่าเดิม จากความคาดหวังในผลงาน แต่ก็ดีใจที่ได้กลับมาสู่ถิ่นแพท สเตเดี้ยม
“มาดามแป้ง” นางนวลพรรณ ล่ำซำ ประธานสโมสรการท่าเรือ ประกาศเมื่อวันที่ 20 ก.ค. แต่งตั้ง “โค้ชโอ่ง” ดุสิต ที่เคยคุมท่าเรือ เมื่อปี 2013-14 กลับมาคุมทีมเป็นคำรบ 2 โดยผลงานล่าสุดของแบ๊กซ้ายดาราเอเชียเพิ่งพา บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ผงาดคว้าแชมป์ไทยลีกฤดูกาลล่าสุด ต่อเนื่องจากที่นำทีมได้แชมป์ไทยลีก 2
หลังได้รับแต่งตั้งคุมท่าเรือ โค้ชโอ่ง กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ดีใจที่ได้กลับมาคุมทีมการท่าเรืออีกครั้ง จะได้เจอกับบรรยากาศเก่าๆ แต่ครั้งนี้คงไม่เหมือนครั้งก่อนที่เคยคุมทีม เพราะจะแบกรับความกดดันมากขึ้น
“ท่าเรือเปลี่ยนไปจากสมัยที่ผมเคยอยู่ ความคาดหวังของคนเปลี่ยนไปฉะนั้นก็ยากขึ้นแน่นอน ถึงจะมีกระแสแฟนบอลที่ดี แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่ด้วยผลงาน ต้องทำออกมาให้ดีจึงจะมีความสุขทุกฝ่าย”
ดุสิต เฉลิมแสน กล่าวต่อว่า หลังจากที่ได้เข้าไปเซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอกับ “มาดามแป้ง” ประธานสโมสร ดังนั้นจึงยังไม่ได้คุยรายละเอียดมากนัก แต่เข้าใจอยู่แล้วว่าการมาในครั้งนี้ต้องการให้พาทีมประสบความสำเร็จ ส่วนนักเตะการท่าเรือชุดนี้ที่เคยร่วมงานกันก็จะมีแค่ “ตั้ม” ธนบูรณ์ เกษารัตน์ แต่ก็เจอกันไม่นาน เพราะหลังจากเข้าไปคุม บีจี ปทุม ได้สัปดาห์เดียว ธนบูรณ์ก็ย้ายมาอยู่การท่าเรือแล้ว
เมื่อถามว่า จากที่ติดตามฟอร์มมานั้น ทีมการท่าเรือมีจุดอ่อน-จุดแข็งตรงไหน โค้ชโอ่ง กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นคนทำทีม อยากเข้าไปสัมผัสกับนักกีฬาด้วยตัวเองก่อน แล้วค่อยมาดูกันอีกทีว่าทีมนั้นมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างใด ถ้าฟังจากคำวิจารณ์หรือวิเคราะห์คงชี้ชัดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กังวลตอนนี้คือเรื่องของโควิด-19 ต้องรอดูคำสั่งว่าจะสามารถซ้อมได้หรือไม่ เพราะถ้าหากเหตุการณ์ย่ำแย่ลงจริงๆ ก็อาจจะต้องเลื่อนแข่งขันออกไปอีก ถึงตอนนี้ยังไม่ได้เจอกับนักกีฬาเลย รอลุ้นผลตรวจโควิด-19 อีก 1-2 วัน ถ้าไม่มีปัญหาใดๆ ก็หวังว่าจะได้เข้ามาซ้อมในสนามร่วมกัน.