เมื่อวันที่20 ก.ค. นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการพิจารณางบประมาณกระทรวงกลาโหมในวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมาว่าในฐานะคนที่ติดตามงบประมาณกระทรวงกลาโหมรู้สึกข้องใจกับการผ่านงบกลาโหมเป็นอย่างมากเนื่องจากภายหลังเกิดการถกเถียงกันในที่ประชุมกรรมาธิการ ประธานกลับสั่งปิดการประชุมและให้ผ่านการพิจารณางบกลาโหมไปแบบงงๆ ทั้งที่หลายคำถามที่พรรคก้าวไกล ขอให้ชี้แจงกองทัพยังไม่ชี้แจงรวมถึง กอ.รมน. ซึ่งมีงบประมาณเกือบ 7,900 ล้านบาท
“ผมคิดว่าประธานกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณซึ่งเป็นคนจากรัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐ ต้องตอบคำถามเพื่อนกรรมาธิการและตอบคำถามสังคมให้ได้ว่าการรวบรัดผ่านการพิจารณากลาโหมในครั้งนี้มีอะไรไม่โปร่งใสหรือไม่ และทำไมเฉพาะหน่วยงานนี้จึงเห็นประธานกรรมาธิการออกมาทำหน้าที่ปกป้องหน่วยงานมากเป็นพิเศษกว่ากระทรวงอื่นๆ” นายพิจารณ์ กล่าว
นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า ในการพิจารณางบประมาณครั้งนี้คนมักให้ความสนใจไปที่เรือดำน้ำลำที่ 2 และลำที่ 3 ซึ่งแน่นอนว่าไม่ควรทำในช่วงเวลานี้แต่การตัดงบเรือดำน้ำที่ตั้งในปีนี้จะช่วยประหยัดงบประมาณปีนี้ได้เพียง 900 ล้านบาทเท่านั้น เพราะกองทัพเรือใช้วิธีการดาวน์น้อยผ่อนนานตั้งงบปีแรกให้น้อยแล้วผูกพันงบประมาณไปจ่ายในอนาคตเป็นภาระอีก 6-7 ปี
แต่เมื่อกองทัพยอมถอยเลื่อนงบประมาณเรือดำน้ำแล้วกลับกลายเป็นคนให้ความสนใจเฉพาะงบประมาณเรือดำน้ำแล้วละเลยความโปร่งใสของงบประมาณส่วนอื่นไปงบประมาณของกองทัพ 2.03 แสนล้านบาทนี้ ยังมีงบประมาณอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่โปร่งใสและชวนให้ตั้งคำถาม
นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า ทั้งงบประมาณที่สิ้นเปลืองสอดไส้งบของส่วนราชการอื่นและมีงบที่ไม่ใช่ภารกิจกรณีงบประมาณที่สิ้นเปลือง เช่น โครงการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบ้านพักทหารซึ่งมีทุกเหล่าทัพงบสร้าง-ซ่อมบ้านพักของกองทัพอากาศ 344 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 40% ของงบก่อสร้างในแผนงานพื้นฐานด้านความมั่นคงที่มีงบทั้งหมด 878 ล้านบาท โครงการอาคารพักข้าราชการกองเรือดำน้ำในพื้นที่กองเรือยุทธการวงเงินงบประมาณ 294 ล้านบาท ก็มีความน่าสงสัยเพราะมีการประกาศจัดซื้อจัดจ้างและและยกเลิกถึง 3 ครั้ง ด้วยกันโดยใช้วิธีการประกาศเชิญชวนโครงการก่อสร้างบ้านผู้บริหารระดับสูงจำนวน 4 หลังมูลค่า 30 ล้านบาท ตกแล้วราคาหลังละประมาณ 7 ล้านกว่าบาท และยังมีโครงการก่อสร้างอาคารพักขนาด 32 ครอบครัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวน 4 หลัง มูลค่า 174 ล้านบาท รวม 2 โครงการมูลค่ารวม 348 ล้านบาท
“สรุปแล้วสร้างบ้านพักไม่พอหรือกำลังพลมากเกินไปกันแน่ อย่างในกรณีของกองทัพบกชี้แจงว่ายังมีกำลังพลอีก 5 หมื่นกว่านาย ที่ยังไม่มีบ้านพัก สะท้อนให้เห็นถึงความใหญ่เทอะทะอุ้ยอ้ายของกำลังพลเป็นภาระจากทั้งงบบุคลากรและงบสวัสดิการ การที่กองทัพต้องจัดสวัสดิการที่ดีให้กำลังพลเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่เมื่อกำลังมีขนาดใหญ่โตเกินไปจึงกลายเป็นภาระงบประมาณที่อาจเกินความจำเป็น” นายพิจารณ์ กล่าว
นายพิจารณ์กล่าวต่อว่างบก่อสร้างบ้านพักอีกก้อนที่น่าสงสัยเป็นงบประมาณผูกพันสำหรับก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยสูง 13 ชั้นจำนวน 175 ห้อง พร้อมที่จอดรถตั้งอยู่ที่ถนนอู่ทองนอก ให้กับข้าราชบริพารภายใต้สังกัดส่วนราชการในพระองค์และครอบครัววงเงินก่อสร้าง 620.5 ล้านบาท และมีค่าจ้างที่ปรึกษาตลอด 4 ปี เพื่อดูแลโครงการนี้อีก 21.7 ล้านบาท ทำให้มูลค่าโครงการทั้งหมดคิดเป็นงบประมาณ 642.2 ล้านบาท โดยปีงบประมาณ 65 มีงบประมาณที่ตั้งไว้ 283 ล้านบาท
นายพิจารณ์ กล่าวว่า เหตุใดงบประมาณการสร้างอาคารที่พักให้กับข้าราชบริพารและครอบครัวจึงอยู่ในงบประมาณของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ทั้งที่ไม่ได้เป็นสวัสดิการสำหรับบุคลากรในสังกัดของตนเองตาม พ.ร.บ.ส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 กำหนดให้มีการถ่ายโอนภารกิจกำลังพลและงบประมาณไปให้ส่วนราชการในพระองค์ไปทั้งหมดแล้วทำไมจึงยังมีการตั้งงบประมาณส่วนนี้และมีงบประมาณอื่นในผลผลิตสนับสนุนการถวายความปลอดภัยรวมกันอีก 1,296 ล้านบาท ซึ่งตัวแทนจากสำนักปลัดฯ ได้ชี้แจงว่าได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการในพระองค์มาตรา 5 วรรคท้ายที่ได้บัญญัติว่าให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่สนับสนุนภารกิจของส่วนราชการในพระองค์ ตามที่ได้รับแจ้งแต่ไม่เคยมีการแสดงเป็นเอกสารให้กรรมาธิการได้เห็นเลยว่า มีการแจ้งขอการสนับสนุนงบประมาณและโครงการจริงหรือไม่
นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า โครงการจัดซื้อจัดจ้างอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรือดำน้ำถึงแม้ว่าในปีนี้กองทัพเรือจะแถลงข่าวออกมาว่าเลื่อนออกไปก่อนแต่ที่กองทัพเรือเลื่อนซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และลำที่ 3 ในปีนี้ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีงบประมาณสำหรับเรือดำน้ำ ในปี 2565 ยังมีการตั้งงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับเรือดำน้ำ 10 กว่ารายการ รวมงบประมาณ 3,760 ล้านบาทมีรายการที่ตั้งใหม่ด้วยคือโครงการสร้างระบบสื่อสารควบคุมบังคับบัญชาเรือดำน้ำงบประมาณผูกพัน 3 ปี วงเงิน 300 ล้านบาทและในการจัดซื้อจัดจ้างยังมีข้อพิรุธอย่างมากเช่นโครงการก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำระยะที่ 1 พบว่าตั้งงบประมาณไว้ที่ 900 ล้านบาท แต่มีการประกาศจัดซื้อจัดจ้างแบบแล้วยกเลิกถึง 5 ครั้งด้วยกัน โดยผู้ชนะเป็นจากประเทศจีน บริษัทเดียวกันกับผู้ขายเรือดำน้ำและเมื่อดูเนื้องานแล้วเป็นงานโยธางานทั่วไปเหตุใดจึงไม่เปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนไทยสามารถเข้าแข่งขัน เชื่อได้ว่าอาจกำหนดตั้งแต่ TOR ทำให้บริษัทไทยไม่สามารถเข้าหลักเกณฑ์
นอกจากโครงการนี้ยังมีกรณีโครงการก่อสร้างโรงซ่อมเรือดำน้ำวงเงินงบประมาณเกือบ 958 ล้านบาท ก็มีการประกาศและยกเลิกถึง 4 ครั้งด้วยกันถึงได้ผู้ชนะการประมูลแบบเฉพาะเจาะจงและมีโครงการอาคารพักข้าราชการกองเรือดำน้ำในพื้นที่กองเรือยุทธการที่ได้พูดไปแล้ว วงเงินงบประมาณ 294 ล้านบาท ก็มีการประกาศและยกเลิกถึง 3 ครั้งด้วยกัน โดยใช้วิธีการประกาศเชิญชวนในชั้นกรรมาธิการได้มีการถามถึงข้อพิรุธในกรณีที่กล่าวมาทั้งหมดเกี่ยวกับเรือดำน้ำกองทัพเรือกลับเลี่ยงตอบถึงความไม่โปร่งใสนี้
นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้กองทัพเรือออกข่าวว่าจะเลื่อนการซื้อเรือดำน้ำออกไปเป็นการเบี่ยงความสนใจของสังคมให้ไปโฟกัสที่เรือดำน้ำแล้วสอดไส้ผ่านงบประมาณอื่นได้ง่ายขึ้นเรายังเห็นมีตั้งซื้ออาวุธมูลค่าสูงของกองทัพเพิ่มเติมในปีนี้เช่นอากาศยานไร้คนขับมูลค่าโครงการรว ม4,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตั้งงบปี 65 จำนวน 820 ล้านบาท แล้วที่เหลือผูกพันงบประมาณไปอีก 4 ปี ตนจึงอยากถามว่าในภาวะที่ประชาชนกำลังยากลำบากจากวิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้ กองทัพกลับยังตั้งซื้ออาวุธเป็นปกตินั้นมีความเหมาะสมหรือไม่
“ผมคิดว่าถ้าประเทศมีเงินเศรษฐกิจดีเก็บภาษีเข้าเป้าอยากซื้ออาวุธก็ว่ากันไปแต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้รอไปก่อน เพราะซื้อแบบนี้ผูกพันไป 4 ปี คิดง่ายๆ ปีละพันล้านมันใช่เรื่องไหมที่ต้องซื้อ เวลานี้ประชาชนป่วยเป็นหนี้เป็นสินตกงาน แต่กองทัพจะซื้อให้ได้ เวลาที่คุณเอาทหารมาบริหารประเทศและนำเอาความมั่นคงทางการทหารมาเป็นอันดับแรกก็จะคำนึงถึงความพร้อมในการป้องกันประเทศก็จะมีการจัดซื้ออาวุธมีการตั้งโรงงานผลิตทุกอย่างแบตเตอรี่ ยางรถยนต์ กระสุนปืน ผลิตสินค้าที่กองทัพคิดว่าเป็นยุทธภัณฑ์ทุกอย่างยันแป้งป้องกันสังคัง ซึ่งต้องกล่าวด้วยว่าสินค้าที่กองทัพผลิตเองมีราคาสูงกว่าการจัดซื้อจากภายนอกมาก” นายพิจารณ์ กล่าว
นายพิจารณ์กล่าวต่อว่าในทางกลับกันคุณไม่มีความพร้อมด้านสาธารณสุขคุณ ไม่มีเตียง ICU รองรับคุณ ไม่มีเครื่องช่วยหายใจ ถ้าเปรียบเป็นสงครามคุณแพ้สงครามแล้ว ประชาชนตายเป็นใบไม้ร่วงแล้ว เพราะฉะนั้นต้องหยุดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ได้แล้ว ตนขอเรียกร้องไปยังกรรมาธิการงบประมาณว่าต้องพิจารณางบประมาณให้ละเอียดมากขึ้นถี่ถ้วนมากขึ้น เพื่อให้งบประมาณแผ่นดินทุกบาทกลับไปถึงประชาชนอย่างแท้จริง