ช่วงนี้ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” กลับมาระบาดหนักอีกครั้ง!! คนไทยตกเป็นเหยื่อแทบทุกวงการ ทุกอาชีพ ไล่ตั้งแต่ “ชาวบ้าน” ไปจนถึง “ดารานักแสดง” ไม่เว้นแม้กระทั่ง “บุคลากรทางการแพทย์”

กลายเป็นปัญหาซ้ำเติมคนไทยเพิ่มขึ้นไปอีก ไหนจะต้องระมัดระวังตัวไม่ให้ “ติดโควิด-19 ไหนจะต้องสู้กับปัญหาเศรษฐกิจ “แพงทั้งแผ่นดิน” แล้วยังต้องมาตกเป็นเหยื่อ “แก๊งมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์”เหล่านี้อีก

คนที่เป็นชาวบ้านธรรมดาบางคนโดนหลอกให้โอนเงินเสียหายตั้งแต่หลักหมื่น ขณะที่กลุ่มบุคลากร ทางการแพทย์ โดนกันเป็นหลักล้าน!!

จนทางแพทยสภา ต้องไปยื่นหนังสือร้องเรียนและหลักฐานต่อ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หลังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลาม “ตุ๋น” ถึงวงการแพทย์แล้ว

ที่จริงแล้ว…ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นปัญหาที่มีมาเป็นสิบปี แต่ได้เปลี่ยนพฤติกรรม หรือ กุเรื่องหลอกลวงไปเรื่อยๆ ให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน

โดยปัจจัยส่วนหนึ่งที่ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ กลับมาะบาดหนักขึ้น มาจากช่วงที่ผ่านมา การส่งเอสเอ็มเอส หรือข้อความสั้นพร้อมลิงค์ต่างๆ เพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล ไปทำธุรกรรมต่างๆ ทำได้ยากขึ้น เมื่อทาง “สำนักงาน กสทช.” และ “ค่ายมือถือ” พยายาม “บล็อกเอสเอ็มเอส” เหล่านี้ทำให้มิจฉาชีพเปลี่ยนมาใช้วีธีโทรฯหลอกลวงเหยื่อ โดยตรง!?!

ซึ่ง “มุขหลอกลวง” ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เช่น ช่วงนี้มีการซื้อของออนไลน์กันเยอะ! ก็ โทรฯหาเหยื่ออ้างเป็นเจ้าหน้าที่บริษัทขนส่ง บอกมีพัสดุส่งมาให้แต่เป็นของผิดกฎหมาย เหยื่อมีส่วนเกี่ยวข้อง จากนั้นก็โอนสายให้คุยกับมิฉาชีพอีกคนที่อ้างตัวว่าเป็นตำรวจ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ หรือ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ (ปปง.) แจ้งว่าเงินในบัญชีจะต้องถูกตรวจสอบ

หรืออีกกรณีอาศัยสถานกาณ์โควิด-19 ระบาด ที่คนส่วนใหญ่ได้ทำประกันภัยโควิด-19กันไว้ หรือทำประกัน ต่างๆไว้  แล้วโทรฯ หาเหยื่ออ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่บริษัทประกัน เหยื่อได้ไปรับสินไหมทดแทนโควิดในต่างจังหวัด เมื่อเหยื่อปฏิเสธ ก็บอกว่า ชื่อถูกนำไปแอบอ้าง แล้วโอนสายให้คุยกับมิจฉาชีพอีกคนที่อ้างตัวเป็นตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐ บอกว่าเหยื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องยาเสพติด ของผิดกฎหมาย หรือ การฟอกเงิน จะต้องโดนตรวจสอบเงินในบัญชี

จากนั้นก็พูดหว่านล้อม รวมถึงข่มขู่ให้เหยื่อกลัวว่าจะมีความผิดทางกฎหมาย หากไม่แสดงความบริสุทธ์ใจให้ตรวจสอบ ฯลฯ และอ้าง เมื่อตรวจสอบไม่พบความผิดแล้วก็จะโอนเงินคืนให้  ซึ่งคนที่ตกเป็นเหยื่อที่ไม่มีความรู้ทางกฎหมาย เป็นผู้สูงอายุ หรือไม่ได้ติดตามข่าวสารก็จะกลัวมีความผิด หลงเชื่อทำการโอนเงินให้กับกลุ่มมิจฉาชีพไป

หลายๆคนอาจสงสัยว่าแค่โทรฯมาอ้างเป็นเเจ้าหน้าที่รัฐ ทำไมถึงมีคนหลงเชื่อกันได้ง่ายๆ ?? ทำไมไม่ขอดูเอกสารหรือหลักฐานต่างๆ ก่อนหรือ?

ต้องบอกว่าในปัจจุบันมิจฉาชีพมีการเตรียมการในการหลอกลวงที่แนบเนียนขึ้นมาก!?!

โดยแก๊งคอล เซ็นเตอร์ จะใช้การโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP) จากต่างประเทศ เข้ามายังที่เบอร์โทรศัพท์ ของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในประเทศไทย ซึ่งการโทรฯผ่านอินเทอร์เน็ตนั้น พวกมิจฉาชีพสามารถเตั้งได้เลยว่า จะให้เบอร์ ที่โทรฯขึ้นโชว์ว่าเป็นเบอร์อะไร ส่วนใหญ่มิจฉาชีพก็จะหาข้อมูลเบอร์โทรฯของหน่วยงานภาครัฐแล้วตั้งเป็นเบอร์โทรฯ เช่น สถานีตำรวจ ปปส. ดีเอสไอ เพื่อให้ผู้รับสายเกิด ความเข้าใจผิด และหลงเชื่อ ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของ หน่วยงานนั้น โทรฯมาจริงๆ

ในกรณีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ…อาจจะถามหาบัตรเจ้าหน้าที่หรือเอกสารต่างๆ พวกมิจฉาชีพก็จะมีการแอดไลน์ ส่งเอกสาร ทั้งบัตรประจำตัวหรือเอกสารราชการให้เหยื่อ แต่เป็นเอกสารที่ปลอมแปลงขึ้นมา มีการใช้สัญลักษณ์ ของหน่วยงาน เพื่อให้ดูเหมือนเอกสารจริงๆ แต่ทั้งหมดเป็นเอกสารที่ปลอมขึ้นมา เพื่อใช้หลอกหลวง!!

ซึ่งอาศัยโปรแกรมในการตัดต่อ ฯลฯ  ใครที่มีความเชี่ยวชาญก็สามารถทำได้ !!

หรือกรณีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อขอให้เปิดกล้อง เพื่อดูว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจริงหรือไม่ พวกมิจฉาชีพเหล่านี้ก็ “เล่นใหญ่ สวมบทนักแสดง” มีการแต่งชุดเจ้าหน้าที่จริง เช่น ตำรวจ แล้วเปิดกล้องให้ดูแป๊บเดียว เพื่อให้เหยื่อเห็นแล้วหลงเชื่อว่าเป็นตำรวจจริงๆ

ซึ่งการป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อก็คือ…ต้องมีสติ อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ แม้มิจฉาชีพเหล่านี้ จะส่งเอกสารต่างๆ ให้ก็อย่าเชื่อในทันที ต้องติดต่อตรวจสอบกับหน่วยงานนั้นๆ ว่าเอกสารเหล่านี้ ออกโดย หน่วยงานรัฐนั้นจริงๆ หรือไม่

โดยเฉพาะกลวิธีการอ้างให้โอนเงินในบัญชีเราไปยังบัญชีอื่นๆเพื่อตรวจสอบ… ยิ่งเป็นไปไม่ได้!! เพราะตามกฎหมายหากเจ้าหน้าที่รัฐสงสัยว่าบัญชีนั้นมีส่วนเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายหรือการฟอกเงิน เจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย สามารถแจ้งธนาคารเพื่อทำการอายัดบัญชีเพื่อตรวจสอบได้ โดยไม่ต้องมีการโอนเงินไปยังบัญชีอื่นเพื่อทำการตรวจสอบ ตามที่พวกมิจฉาชีพแอบอ้างให้โอนเงิน

อย่างไรก็ตามทาง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้เตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อง่ายๆ  โดยปกติไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ โทรฯหาเพื่อให้ประชาชนโอน หรือนำเงินมาตรวจสอบ  ส่วนการส่งเอกสารหลักฐานของหน่วยงานรัฐมาทางไลน์ภาพเหล่านี้สามารถตัดต่อได้ หากสงสัยให้สอบถาม หน่วยงานก่อนที่จะมีการดำเนินการใดๆ 

โดยทางดีอีเอสและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเร่งแก้ปัญหา จะหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเรื่องการอายัดบัญชี ให้ทำได้เร็วมากขึ้น รวมถึงการแก้ไขการรับจ้างเปิดบัญชี หรือที่เรียกว่า “บัญชีม้า” เพราะเงินของเหยื่อจะถูกหลอกโอนไปยังบัญชีม้า แล้วจากนั้นจะมีการโอนต่อไปยังบัญชีอื่นๆเป็นทอดๆ ในเวลาไม่กี่นาที เพื่อให้ตามอยากและต้องใช้เวลาในการสืบสวน

 นอกจากนี้จะมีการประสานไปยังรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เพราะแก็งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้จะใช้ประเทศเพื่อนบ้านฐาน ในการโทรฯมาหลอกเหยื่อ รวมถึงมีการหลอกหลวง คนไทยไปทำงานในแก็งคอลเซ็นเตอร์ด้วย

ขณะที่ทาง กสทช.ได้มีการกำชับให้ “ค่ายมือถือ” ตรวจสอบการโทรผ่านอินเทอร์เน็ต จาก ต่างประเทศ เข้ามายังที่เบอร์โทรศัพท์ของคนไทยในประเทศไทย หากมีรูปแบบ เป็นเบอร์โทรศัพท์บ้าน เบอร์พิเศษ 3 หลัก หรือเบอร์พิเศษ 4 หลักของประเทศไทย ให้ตัดสายเพื่อไม่ให้ส่งต่อการโทรนั้นไปยังปลายทางในประเทศไทย เพื่อเป็นการป้องกันการปลอมแปลงเบอร์โทรฯเข้ามา

สุดท้ายแล้ว!! การป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อก็คือ การมีสติ อย่าตระหนก!! อย่าเชื่อ!! อย่าโอน!! ตรวจสอบกับหน่วยงานที่ถูกแอบอ้างก่อนเสมอ ที่สำคัญท่องไว้ในใจ เงินเมื่อถูกหลอกออกจากกระเป๋าเราไปแล้ว การได้คืนเป็นเรื่องยาก!??!

จิราวัฒน์ จารุพันธ์

ภาพจาก pixabay.com