นายชัยวุฒิ ธนาคมนานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ในปี 64 กระทรวงดีอีเอส ได้นำดิจิทัลมาช่วยขับเคลื่อนประเทศและช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ผ่านโครงการต่างๆ ของหน่วยงานในสังกัด อาทิ การสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนดีอี เกี่ยวกับด้านการแพทย์และสาธารณสุข จำนวน 42 โครงการ ครอบคลุมโรงพยาบาล 34 แห่ง  การส่งเสริมให้วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ต่างๆ สามารถใช้ดิจิทัลในการยกระดับ การดำเนินชีวิตและรายได้ ผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซ มีผู้ประกอบการขึ้นทะเบียนรวม 3,060 ราย สร้างรายได้ 200 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีการจัดทำกฎหมายเกี่ยวกับดิจิทัล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถ่อในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ จัดทำร่าง พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ…และยังมีการจัดทำข้อเสนอแนะมาตรฐาน การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล และปรับโฉมบริการโทรสายด่วน 1212 OCC สู่ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ เพื่อยกระดับการคุ้มครองประชาชนให้ดีขึ้น นอกจากนี้ในส่วนของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมสามารถลดจำนวนข่าวปลอมได้มากกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมีการทำงานแบบบูรณษการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งปิดกั้นเว็บไซต์เนื้อหาที่ผิดกฎหมายแล้ว จำนวน 9,092 บัญชีรายชื่อ (ยูอาร์แอล) แบ่งเป็น หมิ่นสถาบันฯ 289 คำสั่ง รวม 6,563 ยูอาร์แอล ละเมิดลิขสิทธิ์ 5 คำสั่ง รวม 56 ยูอาร์แอล ลามกอนาจาร 15 คำสั่ง รวม 258 ยูอาร์แอล การพนัน 65 คำสั่ง รวม 2,198 ยูอาร์แอล และอื่นๆ (ข้อมูลที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน) 1 คำสั่ง รวม 17 ยูอาร์แอล

รวมทั้ง ได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ และประสานข้อมูลผู้กระทำความผิดนำเข้าข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ พร้อมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้นไปยังกองบังคับการปราบปราม การกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) จำนวน 1,751 ยูอาร์แอล โดยมากสุดเป็นช่องทางของเฟซบุ๊ก 959 ยูอาร์แอล ตามมาด้วย ทวิตเตอร์ 446 ยูอาร์แอล ยูทูบ 305 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์ 41 ยูอาร์แอล

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ยังได้เข้าไปช่วยยกระดับดิจจิทัลสตาร์ทอัพกว่า 1,200 ราย และส่งเสริมการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีดิจิทัลผ่านบริการของสตาร์ทอัพแล้วกว่า 11,400 โครงการ ครอบคลุม เอสเอ็มอี ชุมชนเกษตรกร และหาบเร่ แผงลอย พร้อมทั้งโครงการบิ๊กดาต้า ในการเชื่อมโยง ข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ ที่เป็นความร่วมมือระหว่างดีอีเอส และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยและ ทางโรงพยาบาลเข้าถึงการรักษาได้ง่ายยิ่งขึ้น

สำหรับในปี 65 จะเเดินหน้าให้ประชาชนเข้าถึงดิจิทัลเพิ่มขึ้นผ่าน “โครงการอินเทอร์เน็ตสาธารณะสู่ชุมชน” ตั้งเป้าไม่น้อยกว่า 8,246 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงบริการอินเทอร์เน็ตผ่านระบบสื่อสัญญาณดาวเทียม ความเร็วไม่น้อยกว่า 200/100 เมกะบิท ในพื้นที่ไม่มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าถึง และขยายศูนย์ดิจิทัลชุมชนเพิ่มอีก 2,000 แห่ง ด้วยงบ 5,000 ล้านบาท

ขณะที่เอ็นที ให้พลิกบทบาทเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและดิจิทัลเต็มรูปแบบในปี 66-68 ด้วยการเป็นส่วนกลางสนับสนุนให้ภาครัฐใช้บริการดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานต่างๆทั้งคลื่นความถี่, คลาวด์, อี-ออฟฟิศ ตลอดจนเรื่องไซเบอร์ ซีเคียวริตี้ หรือแม้แต่บริการดาวเทียม อันจะเป็นประโยชน์ต่อการประหยัดงบประมาณ ไม่ต้องจัดสรรซับซ้อน คาดว่าจะมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจดิจิทัลมากกว่า 7,600 ล้านบาท ภายในปี 69