รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 อยู่ที่ 1.0% จากประมาณการเดิมที่ 1.8% เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 มีความรุนแรงกว่าที่เคยประเมิน โดยมีความเสี่ยงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบให้ระบบสาธารณสุขของไทยเผชิญข้อจำกัด จึงมีความจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งตามมาด้วยผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ามีพบมากขึ้น ซึ่งสายพันธุ์เดลต้ามีการแพร่กระจายได้ง่าย หากเทียบกับสายพันธุ์อัลฟ่าหรือสายพันธุ์ดั้งเดิม ส่งผลให้การแพร่ระบาดมีแนวโน้มควบคุมได้ยากขึ้นแม้จะมีการเร่งฉีดวัคซีน ดังนั้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ส่งผลให้ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการจ้างงานมีมากขึ้น และมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ทรุดตัวไปกว่าเดิม

ขณะที่มาตรการเยียวยาจากทางภาครัฐคาดว่าจะช่วยประคองการดำรงชีพที่จำเป็นของประชาชน แต่ไม่สามารถชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยรวม โดยวันที่ 13 ก.ค. 2564 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบออกมาตรการเยียวยาวงเงินรวม 4.2 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยชดเชยแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยครอบคลุม 10 จังหวัดในพื้นที่สีแดงเข้ม เป็นระยะเวลา 1 เดือน รวมถึงมีมาตรการช่วยบรรเทาภาระค่าน้ำค่าไฟแก่ประชาชนทั่วไปเป็นระยะเวลา 2 เดือน

ท่ามกลางการกลายพันธุ์ของไวรัสและจำนวนผู้ติดเชื้อที่กลับมาเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทย ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดกรอบประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2564 ลงอยู่ที่ 2.5-6.5 แสนคน จากกรอบประมาณการเดิมที่ 2.5 แสน-1.2 ล้านคน แม้ว่าจะมีการเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” และโครงการ “สมุย พลัส โมเดล”

อย่างไรก็ดี แผนการเปิดประเทศในพื้นที่อื่นๆ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในไทย จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดและการเร่งฉีดวัคซีนเป็นหลัก ขณะที่ในต่างประเทศก็ยังเผชิญความเสี่ยงจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

ด้านเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าที่คาด ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองการส่งออกไทยปี 2564 จะขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นมาอยู่ที่ 11.5% โดยมองว่าการส่งออกสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยางพารา และผักผลไม้ น่าจะยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัว

นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และน้ำมันสำเร็จรูป น่าจะยังคงเติบโตได้ดีจากปัจจัยด้านราคาที่มีแนวโน้มที่จะยังอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ประมาณการส่งออกนี้ได้มีการคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงเชิงลบจากปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทเนอร์ ค่าระวางเรือที่สูงขึ้น รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับการแพร่ระบาดในประเทศที่อาจจะส่งผลต่อการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม

ทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2564 ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศที่ยังคงเผชิญความเสี่ยงสูง ทั้งจากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ใหม่ ประสิทธิภาพของวัคซีน รวมถึงการเร่งฉีดวัคซีนที่อาจต่ำกว่าเป้าหมาย โดยหากสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศยังไม่คลี่คลายลง คาดว่าภาครัฐอาจจำเป็นต้องมีมาตรการดูแลผลกระทบเพิ่มเติม ในขณะเดียวกัน หากสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายลง คาดว่าภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีแรงส่งมากขึ้น โดยใช้งบประมาณภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท

ขณะที่ยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในต่างประเทศที่ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ท่ามกลางการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ใหม่ๆ เช่นกัน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้าได้ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ในการทบทวนประมาณการเศรษฐกิจไทยแล้ว และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจขยายตัวได้ 1.0%