หลังจากที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ และ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน เพิ่งมีการพบปะเจรจากันทางออนไลน์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐก็ประกาศว่าจะมีการจัดการเจรจาทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐกับไต้หวันรอบที่ 2 ทั้งที่ประธานาธิบดีของจีนได้ออกปากเตือนกลุ่มผู้สนับสนุนเอกราชของไต้หวันในสหรัฐว่า “กำลังเล่นกับไฟ”
ในแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐระบุว่า โฆเซ เฟอร์นันเดซ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการต่างประเทศด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ พลังงาน และสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ จะเป็นผู้นำการเจรจาเรื่องความร่วมมือด้านความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐกับไต้หวันครั้งที่ 2 ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้
การเจรจาจะดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของสถาบันอเมริกันในไต้หวัน (American Institute in Taiwan : AIT) และสำนักงานผู้แทนเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป (Taipei Economic and Cultural Representative Office : TECRO) ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำหน้าที่เป็นสถานทูตโดยไม่เป็นทางการ
ในแถลงการณ์ระบุว่า “การเป็นหุ้นส่วนของเราสร้างขึ้นจากการค้าและการลงทุนสองทางที่เข้มแข็ง ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน สำนึกในการปกป้องเสรีภาพและมีค่านิยมตามระบอบประชาธิปไตยร่วมกัน”
กระทรวงการต่างประเทศของไต้หวัน กล่าวว่า การประชุมแบบเสมือนจริง จะนำโดย หวางเหมยฮวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ และอู๋เจิ้งจง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไต้หวัน
ไต้หวันหวังว่าการเจรจาครั้งนี้จะนำไปสู่ข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐในที่สุด และยกย่องการประชุมครั้งแรกในปีที่แล้วว่าเป็นความก้าวหน้า
การเจรจาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มความสัมพันธ์ของสหรัฐกับไต้หวัน ซึ่งเคยเป็นแนวทางของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ฝ่ายบริหารของไบเดนยังคงดำเนินการต่อ ท่ามกลางความไม่พอใจของรัฐบาลจีนที่อ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน
ทั้งสองฝ่ายได้จัดการเจรจาซึ่งล่าช้าออกมาเป็นเวลานานในหัวข้อเกี่ยวกับข้อตกลงกรอบการค้าและการลงทุนในเดือนกรกฎาคม และไต้หวันหวังว่าจะสามารถร่วมลงนามในข้อตกลงเขตการค้าเสรีได้ในอนาคต
ปีที่แล้ว รัฐบาลไต้หวันยกเลิกการห้ามนำเข้าเนื้อหมูที่มีส่วนผสมของแรคโทพามีนหรือสารเร่งเนื้อแดง เพื่อขจัดอุปสรรคสำคัญในการทำข้อตกลงกับสหรัฐ แต่ยังมีกำหนดจะจัดให้มีการลงประชามติเกี่ยวกับประเด็นนี้ในเดือนธันวาคม
ไต้หวันเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ ซึ่งเป็นสินค้าที่กำลังขาดแคลนทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์โดยเฉพาะ ทำให้รัฐบาลสหรัฐกังวลใจและเร่งกดดันให้ไต้หวันเร่งการผลิตชิพ
เครดิตภาพ : Reuters