เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล แถลงข่าวผ่านระบบ ZOOM  กรณีแนวทางการฉีดวัคซีนของประเทศไทย ว่า เวลาเราดูตัวเลขต้องไปดูว่ามีคนที่ฉีดวัคซีนเท่าไหร่ ทั้งนี้ตัวเลขเดือนที่แล้วที่มีคนบอกว่าในประเทศอินโดนีเซียมีคน 300 คน ติดเชื้อฯ แม้ฉีดวัคซีนครบแล้ว พอดูข้อมูลทั้งหมดของอินโดนีเซีย พบว่าข้อมูลถึงสัปดาห์ที่ 3 ของมิ.ย. มีแพทย์เสียชีวิต 410 คน มี 14 คน เท่านั้นที่ฉีดวัคซีนที่ครบตามกำหนด ที่เหลือ 300 กว่าคน คือคนที่ยังไม่ได้ฉีดหรือฉีดไม่ครบ เพราะฉะนั้นเมื่อดูข้อมูลตอนนี้ที่มี วันนี้วัคซีนลดอัตราการเสียชีวิตอาจจะไม่ดีเท่ากับตอนที่ศึกษาระยะ 3 ที่บอกว่า 100% ไม่เสียชีวิต เพราะเมื่อมีการใช้จำนวนมากไม่มีอะไร 100% ข้อมูลหลังๆ สำหรับวัคซีนแต่ละตัวที่มีการใช้ ลดอัตราการเสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ 90% จึงอาจจะมีบ้างที่เสียชีวิต แต่ต้องดูว่ากรณีคนที่เสียชีวิตมีปัจจัยอื่นๆ เป็นองค์ประกอบหรือไม่ แต่ถ้าดูคนที่ฉีดวัคซีนของประเทศไทย ในระบบสุขภาพทั้งหมด 7 แสนกว่าคน ตอนนี้คนที่อาการรุนแรงกี่เปอร์เซ็นต์ เสียชีวิตกี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนทั่วไป คนที่ไม่ฉีดวัคซีนเป็นอย่างไรก็ต้องเอาตัวเลขทั้งหมดมาดู อย่าดูเฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันการจะกระตุ้นเข็ม 3 ที่ย้ำ คือเราอย่าดูเฉพาะข้อมูลย้อนหลัง ซึ่งตอนนั้นเชื้อเดลตายังไม่เข้ามา แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว ระยะนี้ดีที่สุดคือเฝ้าติดตาม วันนี้นโยบายของประเทศในเวลานี้ไม่อยากให้บุคลากรสุขภาพต้องเสี่ยง ทั้งนี้อัตราการเสียชีวิตของประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้ขึ้นกับไวรัสอย่างเดียว แต่ส่วนหนึ่งเมื่อเกินศักยภาพของระบบสุขภาพเมื่อไหร่ การติดเชื้อก็มาก ซึ่งบุคลากรสุขภาพก็เป็นหนึ่งในทรัพยากรในระบบสุขภาพ ถ้าคนป่วยมาก แต่บุคลากรติดเชื้อ หรือต้องเก็บตัว คนดูแลประชาชนก็จะน้อยลง นี่เป็นเรื่องสำคัญ จึงไม่อยากเสี่ยง และเป็นปัจจัยให้พิจารณาการฉีดเข็ม 3 เพื่อหวังว่าจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และลดความป่วยรุนแรงเพิ่มเติมขึ้นให้กับบุคลากรสุขภาพ เชื่อในอนาคตเมื่อมีวัคซีนมากพอคงมีการขยายวงต่อ และเชื่อว่าในระยะเวลาอันใกล้ สายพันธุ์เดลตาจะเป็นสายพันธุ์หลัก 90% และขณะนี้บางประเทศเริ่มมีการพูดถึงสายพันธุ์เดลตาจะเพิ่มความรุนแรงด้วย ดังนั้นต้องเร่งบริหารจัดการวัคซีน เอามาใช้เยอะ และเร็ว   

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับการฉีดเข็ม 3 ในประเทศไทย ต้องบริหารจัดการ 2 อย่าง คู่ขนานกันไป ไม่ทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะบุคลากรที่เสี่ยงกับการติดเชื้อมีความจำเป็นกระตุ้นเข็ม 3 เพราะส่งผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยเหมือนกัน ขณะเดียวกัน คนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเลยก็ต้องได้เข้ารับการฉีดวัคซีนเลยอย่างน้อย 1 เข็ม ตอนนี้ผู้เกี่ยวข้องกำลังจัดหาและฉีดวัคซีน ส่วนจะจับคู่อย่างไรให้สามารถใช้วัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ก็ต้องถามว่า  1.ข้อมูลทางวิชาการเป็นอย่างไร 2.วัคซีนที่เรามีในมือเป็นตัวไหน สามารถจัดการได้เร็วมากน้อยแค่ไหน แต่จะมาหวังเพียงวัคซีนไม่ได้ 3 องค์ประกอบต้องทำงานคู่กันไปคือวัคซีน มาตรการทางปกครอง และมาตรการทางสังคม รวมถึงมาตรการทางสาธารณสุขก็ต้องทำ ทำอย่างใดอย่างหนึ่งไม่มีทางสำเร็จ ถ้าฉีดวัคซีนอย่างเดียวแล้วคนยังไปที่ไหนก็ได้ ก็คงไม่ได้ผล วันนี้มาตรการทางสังคมออกแล้ว และมาตรการส่วนบุคคลก็ถือว่าการ์ดยกสูง และเห็นด้วยกับวัคซีนทางเลือกก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่มาเติมให้เรามีวัคซีนเข้ามาเพิ่มเร็วและทันกับเวลา

เมื่อถามว่ากรณีบุคลากรการแพทย์กลุ่มหนึ่ง ที่ต้องการบูสเตอร์โด๊สเป็นวัคซีน mRNA ไม่อยากได้แอสตราเซเนกา ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ไปดูข้อมูลทางวิชาการ เพราะเวลานี้เราใช้วิชาการ เมื่อพูดถึงภูมิคุ้มกันถ้าอยากฉีดเข็ม 3 ก็พยายามพุ่งเป้าวัคซีนให้เร็วโดยการกระตุ้น T-Cell ได้เร็ว หรือกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งวัคซีนกลุ่มไวรัลเวกเตอร์ สามารถทำงานตรงนี้ได้ดีมาก ส่วน mRNA ก็ทำงานตรงนี้ได้ดี ดังนั้น 2 กลุ่มนี้ อย่างใด อย่างหนึ่ง เมื่อดูข้อมูลที่มีการศึกษา คู่ขนานแบบฉีด 3 โด๊ส โดยฉีด 2 เข็ม แล้วมาเติมเต็มเข็ม 3 ส่วนใหญ่ก็ใช้ 2 ชนิดนี้  ประสิทธิภาพจะใกล้เคียงกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง  

เมื่อถามถึงกรณีฉีดวัคซีนต่างชนิดกัน ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้องค์การอนามัยโลกยังไม่ประกาศเป็นนโยบายในเรื่องนี้ ยังไม่ได้แนะนำ ยังแนะนำให้ใช้เหมือนเดิม แต่คิดว่าแต่ละประเทศ เมื่อดูข้อมูล กับสถานการณ์ก็น่าจะสามารถใช้ดุลพินิจตามสถานการณ์ของประเทศตัวเองได้

เมื่อถามว่าการฉีดสลับชนิดจะมีผลข้างเคียงอะไรในอนาคตหรือไม่ และจะเป็นการเอาประชาชนมาเป็นหนูทดลองหรือไม่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า อย่าคิดว่าเป็นหนูทดลอง เพราะมีการทดลองในต่างประเทศ ที่ทำมาแล้ว และในประเทศไทยเองมีโรงเรียนแพทย์อย่างน้อย 4 แห่ง ที่ทำการวิจัยเรื่องนี้อยู่ มีการไขว้หลายคู่ ย้ำว่าอยู่เราไม่แนะนำอะไรที่ไม่มีงานวิจัยมารองรับ เพราะเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ซึ่งหากผลวิจัยของ 4-5 โรงเรียนแพทย์ออกมาคล้ายคลึงกัน และเหมือนต่างประทศ คิดว่าจะเป็นตัวมารองรับนโยบายการฉีดวัคซีนที่จะมีการประกาศออกไป เท่าที่ทราบการวิจัยจะออกมาเร็วๆ นี้   

ทั้งนี้ข้อมูลผู้ป่วยเดลตาที่มารับการรักษาที่ รพ.ศิริราช ที่อาการหนักส่วนใหญ่เป็นคนไข้ที่ได้วัคซีนไม่ครบ หรือยังไม่ได้รับวัคซีนด้วยซ้ำ เรื่องนี่สำคัญจึงพยายามย้ำตลอดเวลาว่าอยากให้มีการฉีดวัคซีน ตอนนี้มีคนไข้มากกว่า 1 ใน 3 หรือ ครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำที่เข้ามาก็ปอดอักเสบแล้ว และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเยอะมาก ซึ่งจำนวนหนึ่งที่เสียหายมากคนไข้ที่เข้ามาเหตุผลเพราะยังไม่ฉีดวัคซีน เพราะจะรอฉีดวัคซีนปลายปี ซึ่งไม่ทัน ดังนั้นอยากฝากไว้ตรงนี้ว่าเราสามารถฉีดเสริมทีหลังได้ ถ้าจำเป็นจะต้องฉีดเสริม แต่ไม่คำว่าจำเป็นต้องรอวัคซีนที่คิดว่าดีก่อน เพราะไวรัสตัวนี้แพร่กระจายได้เร็วจริงๆ วันนี้ยังมีความเข้าใจไม่ตรงกัน เพราะมีคนมาปรึกษา ว่ามีพ่อแม่อายุเยอะ มีโรคประจำตัว เลยกลัวว่าจะเสี่ยงจากวัคซีน ทั้งที่ความจริงนี่คือกลุ่มที่ต้องได้รับวัคซีนด้วยซ้ำ การไม่ฉีดจะเป็นการเสียดายโอกาส ดังนั้นอย่าเสียเวลาโดยไม่จำเป็น ถ้ามีคิวฉีดก็อย่าไปเลื่อน 

เมื่อถามว่าเมื่อมีการไขว้สูตร เข็ม 1 เข็ม 2 แล้วรัฐบาลจำเป็นต้องจัดหาวัคซีนมาเพิ่ม 10 ล้านโด๊สหรือไม่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ชื่อว่าข้อมูลทางด้านวิชาการจะเป็นตัวบอกเองว่าในความเป็นจริง ว่าการไขว้ที่ดีควรจะเป็นคู่ไหน กับคู่ไหน ตอนนี้มีวัคซีนอะไรในมือถ้าไขว้แล่วดีก็ใช้ก่อน แต่เราควรจะเรียนรู้ว่าต่อไปในอนาคตว่าควรจะเอาตัวไหนไขว้กับตัวไหน โดยตั้งอยู่บนหลักของวิชาการ

เมื่อถามถึงความปลอดภัยในการฉีดวัคซีนไขว้ชนิดเชื้อตายกับไวรัลเวกเตอร์ ซึ่งมีข้อมูลการฉีดกว่า 1,200 คน พบว่าไม่มีอาการข้างเคียงรุนแรง แต่ข้อมูลการฉีดไขว้ระหว่างเชื้อตายกับ mRNA เป็นอย่างไร ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า แต่ละประเทศที่มีการศึกษาจะจับ 2 จุดคือไขว้แล้วประสิทธิภาพดีขึ้นหรือไม่ กับอันตรายหรือไม่ ปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งงานวิจัยทั้งหมดออกมาคล้ายๆ กันคือมีแนวโน้มว่าระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น และปลอดภัย ข้อมูลขณะนี้มีเท่านี้ แต่อย่างที่บอกว่างานวิจัยที่ทำนั้น เป็นหลัก 100 คน เพราะฉะนั้นโดยรวมนี่คือเหตุผลที่องค์การอนามัยโลกยังไม่ประกาศรับรองว่าให้ไขว้กันได้ ถ้าประเทศไหนจะไขว้ก็ต้องตัดสินโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ และสถานการณ์บีบบังคับ เร่งให้ต้องใช้หรือไม่ใช้

คำแนะนำถึงประชาชนที่ฉีดเข็ม 1 เป็นเชื้อตาย แล้วไปจองวัคซีนทางเลือกชนิด mRNA โดยคิดว่าจะนำมาไขว้เองนั้น ตนขอแนะนำอย่างหนึ่งว่า เมื่อฉีดซิโนแวค 1 เข็มนั้น ภูมิคุ้มกันไม่พอหรอก และเมื่อเวลาผ่านไปภูมิคุ้มกันก็จะลดลงไปเรื่อยๆ สมมุติ ช่วงที่โมเดอร์นายังไม่มา ช่วงที่รอนั่นคือความเสี่ยง แล้วถ้าเราถูกจู่โจมด้วยสายพันธุ์เดลตา ถึงตอนนั้นอาจจะไม่ทัน.