สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ว่ากระทรวงการต่างประเทศของซาอุดีอาระเบียประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่าเอกอัครราชทูตเลบานอนประจำกรุงริยาด “มีสถานะบุคคลไม่พึงปรารถนา” และต้องเดินทางให้พ้นจากราชอาณาจักร ภายใน 48 ชั่วโมง ขณะเดียวกัน รัฐบาลริยาดเรียกตัวเอกอัครราชทูตประจำเลบานอน ให้เดินทางกลับทันที และหน่วยงานทุกแห่งของซาอุดีอาระเบียระงับนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากเลบานอน “อย่างไม่มีกำหนด”
ต่อมาไม่นาน กระทรวงการต่างประเทศของบาห์เรนประกาศเนรเทศเอกอัครราชทูตเลบานอน โดยให้เวลาเดินทางออกจากราชอาณาจักร ภายในเวลา 48 ชั่วโมงเช่นกัน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของทั้งสองประเทศ เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังปรากฏคลิปการให้สัมภาษณ์ของนายจอร์จ คอร์ดาฮี รมว.ข่าวสารของเลบานอน กับสื่อหลายแห่งในตะวันออกกลาง ว่าสงครามกลางเมืองในเยเมนที่ยืดเยื้อตั้งแต่เดือน ก.ย. 2557 เป็นผลจาก “ความก้าวร้าวทางทหาร” ของซาอุดีอาระเบียและพันธมิตร โดยเฉพาะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ที่ร่วมกันปฏิบัติการในเยเมน ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2558
ขณะเดียวกัน คอร์ดาฮีกล่าวว่า สงครามกลางเมืองในเยเมน “เป็นเรื่องไร้สาระและปราศจากเหตุผล” และเขาขอเรียกร้องให้มีการยุติสงครามครั้งนี้ เนื่องจากไม่ต้องการให้ชาวอาหรับต้องมาขัดแย้งและสู้รบกันเอง
ด้านนายกรัฐมนตรีนาจิบ มิกาตี ผู้นำเลบานอน กล่าวว่า รัฐบาลเบรุต “ผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง” กับการตัดสินใจของซาอุดีอาระเบียและบาห์เรน พร้อมทั้งขอให้มีการทบทวนคำสั่งเนรเทศเอกอัครราชทูต เนื่องจากคำกล่าวของคอร์ดาฮีเกิดขึ้น ก่อนการรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในรัฐบาล ซึ่งเพิ่งเข้ามาบริหาร เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา
อนึ่ง ซาอุดีอาระเบียเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนทางเศรษฐกิจรายใหญ่ของเลบานอน แต่เลบานอนเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน และอิหร่านกับซาอุดีอาระเบียเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน นอกจากนี้ รัฐบาลริยาดเชื่อว่า กลุ่มฮิซบอลเลาะห์สนับสนุนกองกำลังฮูตีในเยเมนด้วย.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES, AP