น.ส.นพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า จากผลการมอนิเตอร์ และรับแจ้งข่าวปลอมตลอดช่วงสัปดาห์นี้ (22-28 ต.ค.64) โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เริ่มเห็นแนวโน้มปัญหาข่าวปลอมเกี่ยวกับโควิดยังคงลดลงต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของจำนวนข่าวปลอม และความสนใจของประชาชนที่มีต่อข่าวปลอมโควิด ปัจจัยส่วนหนึ่งอาจมาจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่น้อยลง อีกทั้งรัฐบาลประกาศเดินหน้าเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ ความสนใจของประชาชนจึงเริ่มหันมาที่ประเด็น เกี่ยวกับเศรษฐกิจและนโยบายรัฐมากขึ้น

โดยจากข้อมูลรอบสัปดาห์ล่าสุดของศูนย์ฯ พบว่า มีข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 11,464,623 ข้อความ หลังคัดกรองแล้ว พบว่ามีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) จำนวน 208 ข้อความ โดยเป็นจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการ ตรวจสอบทั้งหมด 111 เรื่อง โดยจำนวน 59 เรื่อง เป็นข่าวเกี่ยวกับโควิด-19

สำหรับภาพรวมของจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 111 เรื่อง สัปดาห์ล่าสุดนี้มากกว่า 50% เป็นข่าวในกลุ่มนโยบายรัฐบาล/ข่าวสารทางราชการ/ความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยมีจำนวน 60 เรื่อง รองลงมาเป็นข่าวกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ 41 เรื่อง กลุ่มภัยพิบัติ 9 เรื่อง และกลุ่มเศรษฐกิจ 1 เรื่อง

ทั้งนี้จากการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 54 เรื่อง พบว่ามีสัดส่วนของเฟคนิวส์ (ข่าวปลอม/ข่าวบิดเบือน) และข่าวจริงในระดับใกล้เคียงกัน โดยในส่วนของข่าวจริงนั้นรวมถึงข่าวเรื่อง ครม.อนุมัติ ร่างพ.ร.ฎ.ควบคุมดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ดูแลผู้ประกอบการ ผู้ซื้อ-ผู้ขาย

ขณะที่ ข่าวปลอมซึ่งมีคนสนใจสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 ผวจ.ภูเก็ต แอบลักลอบนำมุสลิมต่างด้าวเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย อันดับ 2 กทม. เตรียมรับมือพายุถล่มหนักที่สุด วันที่ 26 ต.ค. – 12 พ.ย. 64 และอันดับ 3 ปตท. รายได้สูงถึง 3 ล้านล้านบาท/ปี แต่นำส่งเข้ารัฐแค่ 1% เท่านั้น

“ประชาชนสามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันแก้ปัญหาข่าวปลอมได้ โดยเมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียล ควรตรวจสอบให้รอบด้าน เลือกเชื่อ เลือกแชร์ และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนี้ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์สายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 เพื่อหลีกเลี่ยงจากการเป็นเหยื่อข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน” น.ส.นพวรรณ กล่าว