เมื่อวันที่ 24 ต.ค. น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มัดมือชกเปิดประเทศวันที่ 1 พ.ย.นี้ เพราะไม่อยากเสียคำพูดว่า เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่เต็มไปด้วยอคติและขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำที่ยังคงติดกับดักกับเรื่องของการเมืองอย่างน่าเสียดาย จึงได้ออกมาดิสเครดิตพล.อ.ประยุทธ์ ผลักดันนโยบายเปิดประเทศเพราะกลัวจะเสียคำพูดเพียงเท่านั้น ในขณะที่พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำที่กล้าหาญ ยึดเอาประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้งโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาปากท้องโดยมีการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ไม่ใช่แค่คิดว่าจะผิดคำพูดแค่นั้น แต่ได้กำหนดทิศทางการปฏิบัติและรูปแบบการเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศรองรับอย่างเป็นขั้นตอน รอบคอบและรัดกุม ทั้ง 3 รูปแบบคือ 1.คนไทยหรือต่างชาติที่ได้รับวัคซีนไม่ครบเมื่อเข้ามาแล้วยังต้องกักตัวตามสถานที่ที่รัฐกำหนด 2. รูปแบบแซนด์บ็อกซ์ หรือ แบบพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวใน 17 จังหวัดและ 3. แบบไม่กักตัวซึ่งแบบที่ 2 และ 3 มีเงื่อนไขคือต้องได้รับวัคซีนครบทั้งสองเข็มเป็นหลัก ที่สำคัญคือต้องได้ตรวจ RT-PCR จากประเทศต้นทางแล้วว่า ไม่ได้รับเชื้อ 72 ชั่วโมง และตรวจซ้ำอีกทันทีที่มาถึงประเทศไทยเมื่อผลการตรวจเป็นลบแล้วจึงจะเดินทางต่อไปได้ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขไว้รองรับทุกด้าน ทั้งการฉีดวัคซีนครอบคลุม 50 เปอร์เซ็นต์ ในสิ้นเดือน ต.ค.นี้ ศักยภาพการรักษา เตียงรองรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง

น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายพิธาวิจารณ์ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ว่าเปิดพื้นที่ตามยถากรรมไม่ได้ทดลองอะไรเลย พร้อมแนะนำวิธีการตรวจแบบอื่นด้วยการให้ข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่านายพิธาไม่มีความรู้อะไรมากไปกว่าวิธีติดกระดุม 1 เม็ด ส่วนเม็ดที่เหลือติดเองไม่เป็น จึงเสนอแนะที่ส่อถึงความต้องการให้ภูเก็ตเป็นเพียงห้องทดลอง ไม่ได้มีความจริงใจกับคนภูเก็ต เช่น กล่าวอ้างว่าภูเก็ตควรทดลองตรวจโควิดนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศโดยเครื่องบินด้วยวิธีการตรวจด้วยลมหายใจอย่างที่รัฐบาลสิงคโปร์ใช้อยู่ตอนนี้ ซึ่งเป็นการอ้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง จึงอยากให้นายพิธาทำความเข้าใจเสียใหม่  เพราะการตรวจด้วยลมหายใจในสิงคโปร์ถูกใช้เพียงการทดลอง (trial) ที่จุดผ่านแดนทางบก Tuas Checkpoint เท่านั้น ตลอดมารัฐบาลสิงคโปร์อนุมัติให้ผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศแบบไม่ต้องกักตัวต้องฉีดวัคซีนครบโด๊ส มีผลตรวจแบบ RT-PCR เป็นลบทั้งก่อนเดินทางและทันทีที่มาถึงสนามบิน ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เพราะเป็นวิธีการตรวจที่ได้ผลถูกต้องแม่นยำ ได้มาตรฐานทั่วโลก เป็นการคำนึงถึงสุขภาพของประชาชนเป็นหลัก การที่นายพิธาจะให้ภูเก็ตทดลองใช้วิธีการตรวจที่ยังไม่ได้รับการยอมรับระหว่างประเทศ อยากถามว่านายพิธาเห็นสุขภาพของชาวภูเก็ตเป็นอะไร ตระหนักถึงความปลอดภัยรอบด้านแล้วหรือสะท้อนถึงความรู้ความเข้าใจของนายพิธาต่อการบริหารประเทศที่ยังอ่อนหัดนัก

น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า ส่วนที่นายพิธาเสนอให้ตรวจแบบด้วยน้ำลายแบบกลุ่ม (Pool Saliva Covid Test) แทนการตรวจ RT-PCR โดยยกตัวอย่างว่าโรงแรมที่มี 5 ชั้น มีคนพักอยู่ 100 คน อาจจะใช้วิธีการตรวจด้วยน้ำลายแบบกลุ่มคือ นำน้ำลายของคนทั้งชั้นมารวมกันเพื่อตรวจเพียงครั้งเดียวนั้น แสดงให้เห็นว่านายพิธา ก้าวไกลจนถดถอยทางความคิด ไม่เข้าใจพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ทั้งจุดหมายปลายทางไม่ได้ไปเป็นกลุ่มใหญ่หรืออยู่ที่เดียวกันพร้อมกัน รวมถึงระหว่างการเดินทางก็มีการกินการดื่มระหว่างทางมา ซึ่งก็จะผสมอยู่ในน้ำลาย มิฉะนั้นเราต้อง “บังคับ” และ “จำกัด” พฤติกรรมหลายอย่างก่อนการตรวจเพื่อผลที่ถูกต้อง  ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีประเทศไหนทำ ที่สำคัญการตรวจแบบ RT-PCR ก็มีความแม่นยำ-ปลอดภัยสำหรับพี่น้องประชาชนคนไทยและวิธี RT-PCR ก็เป็นที่ยอมรับทั่วโลก

น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า การลงพื้นที่ จ.กระบี่ ไปพบตัวแทนภาคธุรกิจท่องเที่ยวและประชาชนของนายพิธา สะท้อนถึงความไม่จริงใจ  เพราะปากก็บอกว่าพรรคก้าวไกลยืนยันว่าต้องเปิดประเทศ แต่กลับอ้างเหตุต่างๆ มาสร้างภาพให้เกิดความน่าหวาดกลัวเพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของพี่น้องประชาชน ทั้งผู้ประกอบการ และผู้ปฏิบัติ จึงประดิษฐ์วาทกรรมให้ดูสวยหรูเพื่อไม่ให้พรรคเสียคะแนนเสียงว่าคัดค้านการเปิดประเทศ  สวนกระแสที่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศมีความตื่นตัวที่เตรียมทำมาหากิน เรื่องนี้จึงอยากให้นายพิธาและพรรคก้าวไกลกล้าหาญที่จะยอมรับออกมาตรงๆว่า ไม่ต้องการให้เปิดประเทศ เพราะกังวลว่า เศรษฐกิจจะได้รับการฟื้นฟูและปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนจะดีขึ้นใช่หรือไม่ เพราะล่าสุดรัฐบาลเปิดรับนักท่องเที่ยวซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจถึง 3 หมื่นล้านบาท ทั้งมีการจ้างงานภาคการขนส่งและภาคการบริการดีขึ้น 

“การลงพื้นที่ไปรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองต้องดำเนินการ ไม่ใช่ไปสร้างปัญหาเพิ่ม หรือซ้ำเติมให้เกิดความหวาดกลัว ต้องไปสร้างความเชื่อมั่นและขจัดปัญหาอย่างผู้นำ แต่อีกมุมหนึ่งพี่น้องประชาชนก็จะได้เห็นวิสัยทัศน์ของคนที่เสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างนายพิธาว่า ไม่มีความเหมาะสมที่จะขับเคลื่อนนำประเทศฝ่าวิกฤติใหญ่เช่นนี้ เพราะแนวคิดของนายพิธา แค่กระดุมเม็ดแรกก็ติดไม่เป็นแล้ว นายพิธาควรจะรูดซิปปิดปากไปเลยจะเป็นประโยชน์กับประชาชนมากกว่า” น.ส.ทิพานัน กล่าว.