เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เจ๊อ้อย หรือ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ พร้อมด้วยเลขาส่วนตัว และนายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความส่วนตัว เดินทางกลับ หลังจาก สอบปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. เกี่ยวกับกรณีที่ถูกทนายดังหลอกลวงเงินไปกว่า 71 ล้านบาท โดยใช้เวลาในการสอบปากคำ 11 ชั่วโมง ก่อนที่ ทั้งคู่จะออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

โดย เจ๊อ้อย กล่าวว่า สำปรับการสอบปากคำ ตนได้ให้รายละเอียดกับตำรวจไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรมาก แต่ยืนยันว่า ไม่ได้ให้โดยเสน่หา รู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อได้เข้าสู่กระบวนการ และไม่ได้รู้สึกกังวลใจอะไร ขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ติดต่อมานานมากแล้ว อ้างว่าเอาเงินไปลงทุน เขาก็ไม่ได้ติดต่อเรา ทำให้ตนเองรู้สึกว่านานมากแล้ว ติดต่อเขาไม่ได้หลายเดือน จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจดำเนินคดี

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็รู้สึกใจสลาย เมื่อก่อนเคยช่วยเหลือทุกอย่าง ทั้งเรื่องการเดินทาง การท่องเที่ยว ดูแลเขาเหมือนกับคนในครอบครัว สำหรับจุดกแตกหัก นั้น ตนระแคะระคายมาเรื่อย ๆ ซึ่งรายละเอียดขอให้ทนายพูด เพราะให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่มีเจรจายอมความ

ด้าน นายสมชาติ กล่าวว่า สำหรับสอบปากคำวันนี้ ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อวาน แต่มีข้อมูลและข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้น จึงนำมามอบให้กับตำรวจ ซึ่งก็อยู่ในเนื้อหาเดิม ตอนนี้สอบปากคำไปได้ประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ตนยัง มีข้อมูลอีกหลายอย่าง แต่เกรงใจพนักงานสอบสวน จึงขอหยุดเอาไว้ตรงนี้ก่อน แล้วจะมาให้ข้อมูลอีกรอบ ส่วนรายละเอียดการสอบปากคำ ไม่สามารถให้ข้อมูลได้เนื่องจากอยู่ในสำนวน

เมื่อถามถึงเงิน 39 ล้าน ว่ามีการให้ไปใช้หนี้หรือไม่นั้น ทนายความขอไม่ตอบประเด็นนี้ เนื่องจากมันอยู่ในสำนวน สำหรับประเด็นที่สอบในวันนี้ เป็นเรื่องเงินที่ให้เพิ่มเติมไปจากจำนวน 71 ล้าน ส่วนเรื่องที่ ทนายตั้มจะไม่คืนเงิน 71 ล้านแน่นอน และ คู่กรณีเป็นถึงทนายความ สามารถต่อสู้ในกระบวนการชั้นศาลได้ ตนก็มองว่า เป็นเรื่องที่อีกฝ่ายจะต่อสู้ แต่เรายังยืนยันข้อเท็จของเรา

“…คุณอ้อยได้กำชับให้ ทนายความ ส่งข้อมูลให้กับตำรวจทุกเรื่องและดำเนินคดีให้ถึงที่สุด จนมีคำพิพากษา นอกจากทนายคนดังแล้ว ก็มีบุคคลอื่นรับเงินไปเช่นเดัยวกัน จะมีการดำเนินคดีหรือไม่นั้น ก็มีรายชื่อที่ได้ปรากฎตามหน้าสื่อไปบ้างแล้วแต่ขอไม่พูดพาดพิง กรณีนี้มีการพาดพิงถึงใคร ก็จะดำเนินคดีหมด ส่วนเอกสาร ลงนามลักษณะของการทำสัญญาและมีรายชื่อบุคคลอื่นอยู่ด้วยจะดำเนินคดีหรือไม่นั้น ก็ไม่เสมอไป เนื่องจาก ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง อาจจะเป็นชื่อของพยานก็ได้ เราจะดูว่าเหตุและปัจจัยมันเกิดจากใคร…” นายสมชาติ กล่าว

ส่วนกรณีรถเบนซ์หรูคันสีดำ เป็นของคุณอ้อยและคุณอ้อยเป็นคนใช้งาน เพียงแต่มีการหยิบยืมในบางครั้งเท่านั้น และที่มีคนเห็นว่าอีกฝ่ายนำรถคันดังกล่าว ไปให้ขาวต่างชาติใช้นั้น ตนก็ได้ยินมาเช่นเดียวกัน และมีคนเห็นว่า คู่กรณีหากครอบครัวไปทำวีซ่าคนไม่ทราบรายละเอียด แต่ไม่กังวัล เนื่องจาก อยู่ที่ไหนก็ไม่กังวล เพราะเรามั่นใจในการทำงานของตำรวจ เชื่อว่าตำรวจจะให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย หลังจากนี้ ยังไม่ทราบว่าจะต้องเข้ามาให้ข้อมูลกับตำรวจอีกวันไหน แต่จะต้องมาแน่นอน เนื่องจากว่าวันนี้ ยังสอบปากคำไม่ครบถ้วน.