เมื่อเวลา 12.10 น. วันที่ 1 พ.ย. ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้ก่อเหตุทั้ง 3 รายที่บุกทำร้ายร่างกายนายธรรมราช สาระปัญญา หรือ ทนายธรรมราช กลางวงสื่อไปสอบสวนหาสาเหตุในการก่อเหตุกว่า 1 ชม. นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้คุมตัวนายจารุเวศ อายุ 28 ปี 1 ในผู้ก่อเหตุไป สน.พหลโยธิน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสอบสวนเบื้องต้นนายจารุเวศ ยอมรับว่า ตนลงมือชกต่อยทนายธรรมราชเพียงคนเดียว ส่วนเพื่อนอีก 2 คน ไม่ได้ร่วมก่อเหตุแต่อย่างใด เพียงแค่มาด้วยกัน ส่วนสาเหตุที่ลงมือก็เพราะว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยเห็นทนายธรรมราชโพสต์ข้อความพาดพิงเรื่องเกี่ยวกับศาสนาอื่น ด้วยความที่ตนเองมีภรรยาเป็นคนนับถือศาสนาอิสลามจึงเกิดความไม่พอใจ เลยตั้งใจมาวันนี้เพื่อจะมาถามทนายธรรมราชถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ทนายธรรมราชไม่ยอมตอบจึงเกิดโมโหตัดสินใจทำร้ายร่างกายทนายธรรมราชดังกล่าว

ขณะที่ ทนายธรรมราช กล่าวว่า ตนยังไม่ได้พูดคุยกับผู้ก่อเหตุทั้ง 3 ราย จึงยังไม่ทราบสาเหตุในการกระทำดังกล่าว แต่ยืนยันว่าผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมร่วมกัน แต่ยังไม่ทราบว่ามาด้วยกันหรือไม่ ซึ่งนายจารุเวศเป็นผู้ก่อเหตุทำร้ายร่างกายหลัก แต่อีก 2 คนมีการอ้างว่ามาห้าม แต่พฤติกรรมคือล็อกคอตน หากจะห้ามจริงเหตุใดไม่ล็อกคออีกคน ซึ่งการล็อกคอทำให้ตัวเองคอเคล็ด โดยหลังจากนี้ก็จะต้องสืบหาว่ามีผู้ว่าจ้างมาหรือไม่ หากไม่พบทางผู้ก่อเหตุก็ต้องรับโทษ เรื่องนี้ยาวแน่นอน

สำหรับข้อขัดแย้งในเรื่องศาสนาที่ผู้ก่อเหตุกล่าวอ้าง ยังไม่ปักใจเชื่อ แต่ให้ทางตำรวจเช็กโทรศัพท์แล้วว่าก่อนมามีการพูดคุยกับใครบ้าง

“พวกใจร้อนมักนอนที่แคบ และหลังจากนี้จะต้องโดนคดีไม่มียอมความ เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะตนเคยโดนลอบยิงมาแล้ว เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไม่แมน อาศัยตอนเผลอ หลังจากนี้ตนจะซื้อปืนเพิ่ม” ทนายธรรมราช กล่าว

เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะสามารถหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังได้หรือไม่ เพราะทนายธรรมราชมีคู่กรณีเยอะ ทนายธรรมราช กล่าวว่า ตนเชื่อว่ามีเส้นทาง เพราะอาชีพทนายอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ตนมั่นใจในความปลอดภัยของ บช.ก. จึงเลือกมาร้องแต่ที่นี่ ส่วนตัวเป็นคนระวังตัวอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่เมื่อมาเจอเหตุการณ์ดังกล่าวก็คิดว่าตำรวจก็คงไม่อยากให้เกิด

ส่วนการนำตัวนายจารุเวศไปแจ้งความ สน.พหลโยธินนั้น จะโดนข้อหาทำร้ายร่างกายขณะที่กำลังแถลงข่าว ส่วนอีก 2 ราย ต้องตัดไปอีกกรรมหนึ่ง อาจจะเป็นข้อหาที่เบากว่า อย่างเช่นสนับสนุน ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย

ส่วนตัวจะเอาเรื่องคดีให้ถึงที่สุด ไม่ยอมความแน่นอน แต่คนที่เป็นครอบครัวญาติพี่น้องของตัวเองจะติดใจหรือไม่ ไม่ทราบ.