เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่รัฐสภา นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตรมว.ต่างประเทศ แถลงถึงกรณีการปั่นกระแสบิดเบือนไทยจะเสียเกาะกูด จ.ตราด ตามการเจรจาในเอ็มโอยู 44ว่า ข้อเท็จจริงคือเกาะกูดเป็นของไทย ไม่มีใครยกเกาะกูดให้กัมพูชาได้ ไม่เคยได้ยินกัมพูชาเรียกร้องสิทธิเหนือเกาะกูด ขอให้เลิกปั่นกระแสไทยเสียเกาะกูดเป็นความเท็จ รัฐบาลนี้รักประเทศ ไม่มีใครทำให้เสียดินแดน  เอ็มโอยู44 ลงนามโดยนายสุรเกียรติ เสถียรไทย รมว.ต่างประเทศขณะนั้น เป็นกรอบการเจรจาเรื่องพื้นที่ทางทะเล และพื้นที่พัฒนาร่วม เนื่องจากไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ทั้ง 2ประเทศเลือกใช้วิธีเจรจาการทูต เป็นที่มาเอ็มโอยู 44 เพื่อวางกรอบเจรจาบนพื้นฐานกฎหมายระหว่างประเทศ ที่สำคัญการเจรจาเอ็มโอยู44 ไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของไทยและกัมพูชา ถ้าเจรจาไม่สำเร็จก็ไม่กระทบสิทธิไทยและกัมพูชา 

นายนพดล กล่าวต่อว่า อีกทั้งกลไกเจรจาตามเอ็มโอยู44 ทำโดยคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา(เจทีซี) คนเจรจาคือ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นมือหนึ่งกฎหมายของประเทศ มีตัวแทนกองทัพ กระทรวงพลังงาน คนอื่นไปเจรจาไม่ได้ นายกรัฐมนตรีก็ไม่เกี่ยวข้องการเจรจา การเจรจาในระดับเจทีซีได้อย่างไร ต้องนำมาเข้าสภาพิจารณาก่อน ไม่สามารถไปเซ็นข้อตกลงกับกัมพูชาได้ รัฐบาลไม่สามารถงุบงิบทำได้

นายนพดล กล่าวว่า ไม่อยากให้นำเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลมาบิดเบือนใส่ร้าย อย่างที่ตนเคยถูกกระทำในอดีต สมัยเป็นรมว.ต่างประเทศ ที่ถูกใส่ร้ายเป็นคนยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา ทั้งที่ไทยยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินศาลโลกไปแล้วตั้งแต่ปี2505 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี การใส่ร้ายตนยกเขาพระวิหารให้กัมพูชาจึงเป็นความเท็จ มองว่า ความพยายามปั่นกระแสเรื่องการยกเกาะกูดให้กัมพูชานั้น มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง ต้องการทำลายเสถียรภาพรัฐบาล เพราะเป็นกระแสอ่อนไหว ถ้าไม่ชี้แจงอาจเป็นไฟลามทุ่งได้ คนไทยไม่ว่าเสื้อสีใดรักชาติเท่ากัน อย่านำประเด็นเรื่องดินแดนมาเป็นประเด็นการเมือง บั่นทอนเสถียรภาพรัฐบาล ถ้ารักชาติจริงต้องเอาความจริงและข้อกฎหมายมาพูด  หากยังมีการปั่นแสโจมตี ระบุชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยทำให้ประเทศไทยเสียเกาะกูด คิดว่าคงต้องมีการดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายต่อไป.