นับเป็นอีกหนึ่งนางเอกสาวที่แฟนๆ ยกให้เป็นหนึ่งในนางเอกที่ดูแลตัวเองอย่างดี สำหรับ “เกรซ กาญจน์เกล้า” ที่ทุ่มเทศึกษาต่อปริญญาโท ด้าน Anti-Aging (ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ) และสามารถสอบผ่านในทุกวิชา ซึ่งสาวเกรซออกมาโพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวเพื่อแชร์โมเมนต์ดีๆ นี้ให้แฟนๆ ได้ร่วมยินดีกัน แต่กลับโดนชาวเน็ตบางส่วนดราม่าถึงคำว่าเรียนหมอ
โดย เกรซ กาญจน์เกล้า ได้เปิดใจถึงการเรียนปริญญาโทของเธอในครั้งนี้ ในรายการคุยแซ่บ Show พร้อมเคลียร์ดราม่า เรียนหมอ และปัญหาสุขภาพ เนื้องอกในลำไส้ ที่ทำให้เธอกลับมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง
เกรซ เผยว่า “ดราม่าว่าเรียนหมอทำไมเรียน 2 ปี มันเป็นโพสต์กึ่งประชดในอินสตาแกรมว่าเรียนเยอะขนาดนี้ เรียนหมอมั้ง เกรซก็ไม่ได้คิดว่าคนจะคิดว่าเราอยากจะเป็นหมอ ไม่ใช่ เราเป็นนักแสดง เราเป็นของเราแบบนี้ เราแฮปปี้แล้ว แต่บางคนคงรู้สึกว่าไปเตะคำว่าหมอ เพียงแต่ว่าเรานั่งเรียนกับเขาจริงๆ แล้วมีโอกาสให้เขาติวให้เรา แล้วรู้สึกว่ามีเพื่อนเป็นหมอนี่มันฟินเนอะ ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเอาตัวไปเทียบ หรือไปรักษาใคร มันรักษาไม่ได้อยู่แล้ว เราเขียนไว้ยาว เขาอาจจะไม่ได้อ่านจนจบ เราไม่นอยด์ แต่กลัวว่าคนอื่นจะรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า สำหรับเกรซไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเรารู้ว่าเจตนาเราคืออะไร เราก็พูดไปเรื่อย เรียนหมอจ้า ฟิลแบบต้องรู้เยอะขนาดนี้ไหม ต้องเล่าก่อนว่าเกรซเป็นคนที่ชอบอะไรเกี่ยวกับพวกนี้อยู่แล้ว ตั้งแต่เด็กๆ หลายคนจะเห็นว่าเราดูแลตัวเองดีมากตั้งแต่ 6-7 ขวบเลย เพราะได้มาจากคุณแม่ อะไรที่เป็นคอนเทนต์เกี่ยวกับสุขภาพจะอินมาก เลยรู้สึกว่าตัวเองจะลงลึกเรื่องนี้มากๆ ก็เลยอยากไปเรียน บวกกับทำคอนเทนต์ที่มันถึงจุดอิ่มตัวที่มันไม่ใช่แค่โพสต์ ทำนู่น ทำนี่แล้ว รู้สึกอยากมีความรู้ อยากมีอะไรมาแชร์ ปริญญาตรีเกรซเรียนเกี่ยวกับการตลาด แต่ปริญญาโท อันนี้เป็นหลักสูตรชะลอวัย หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสวยงามอย่างเดียวไหม จริงๆ ไม่ใช่ค่ะ มันเป็นการดูแลสุขภาพองค์รูป เพื่อให้เรามีความสุขไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต เรียนเรื่องฮอร์โมน ระบบต่างๆ ของร่างกาย ใช้เวลาเรียน 2 ปี ตอนนี้เพิ่งเริ่มเรียนได้เทอมแรก คือเราต้องสวยจากภายใน จากเซลล์ข้างใน จากลำไส้ที่สวยงาม มันจะออกมาสู่ภายนอกจริงๆ ไม่ว่าจะคลีนภายนอกยังไง ถ้าเราไม่รู้จัก รู้ใจ ความสวยภายนอกเป็นอะไรที่อยู่ไม่ยืนยาว นอกจากคุณหมอจะสอนแล้ว รู้สึกเป็นเกียรติมาก ที่ได้นั่งเรียนกับคุณหมอหลายๆ คนที่มีความรู้ ซึ่งเป็นอะไรที่ยากมาก ของคุณหมอจะเรียนลงลึกกว่า ของเกรซจะมีอยู่ประมาณนึงว่าเราไม่ได้มีพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เรียนหมอมาเป็นเวลา 6 ปี เหมือนเราโกงความตายเหมือนกันนะ เพราะจริงๆ เราเกลียดวิทยาศาสตร์และไม่ชอบ แต่สุดท้ายมันเป็นเรื่องที่เรามีแพสชั่นพอโตขึ้น แล้วตอนเด็กเราป่วยบ่อย เคยนอนไม่หลับ เพราะเราทำงานไม่เป็นเวลา เมื่อก่อนช่อง 7 ถ่ายไป ออนไป ตี 2 ต้องลุกขึ้นมาถ่ายละคร นอน 5 ทุ่ม ตี 2 ลุกแล้ว มันเป็นเวลาที่รวน ก็เลยตัดสินใจที่จะเรียนจริงๆ แล้วอยากจะทำคอนเทนต์ดีๆ ออกมาบ้าง นอกจากคอนเทนต์ในสิ่งที่เราชอบหรือว่าเป็นงานต่างๆ คอนเทนต์ที่มันเป็นกระแสร่วมสมัย แล้วมันผ่านเวลามาจุดนึง จุดที่มันอิ่มตัวมาประมาณนึงแล้ว มีเพื่อนนักแสดงเรียนด้วย แพรว คณิตกุล แล้วก็พี่หญิง รฐา ด้วย เกรซว่ามันเป็นศาสตร์ที่น่าสนใจมากๆ เรียนแล้วเรารู้สึกเบิกเนตร ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตแบบไหนมาเนี่ย”
“การใช้ชีวิตเปลี่ยนทุกอย่างเลย คนสมัยนี้จะหาในเรื่องของเงินและการทำงาน ทำยังไงก็ได้ให้หาเงินได้มากที่สุด จนลืมโฟกัสร่างกาย ถ้าเราไม่มีร่างกายที่ดี เราจะไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้เลย เราต้องรักษาที่ราก การเรียน Anti-Aging เขาสอนเลยให้เรารักษาที่ราก เพราะปัญหาส่วนใหญ่จากโรคเรื้อรังที่เกิดขึ้น อย่างเช่น โรคเบาหวาน ความดัน หรือโรคอะไรก็ตามมันเกิดจากไลฟ์สไตล์ ดังนั้น Anti-Aging ดูโดยรวม ไม่ได้เรียนเฉพาะเรื่องความสวย หรือจะทำยังไงให้ฉันไม่แก่ มันไม่ใช่ มันต้องลงลึกถึงเซลล์ เกรซได้เรียนการถอดรหัส DNA-RNA เป็นเรื่องเป็นราว ตอนแรกที่เรียน มันจะมีอยู่โพสต์นึงที่ลงไปเกี่ยวกับเรื่องของการเรียน Anti-Aging ว่าเราสอบแล้วเราดีใจมากที่เราสอบผ่าน แต่ตอนแรกเราคิดว่าเราสอบตกแน่ๆ เพราะมันยากมาก ตอนแรกเราคิดว่าเราเสพสื่อคอนเทนต์อะไรพวกนี้มาประมาณนึงแล้ว เรามีความรู้ประมาณนึงแล้ว มันน่าจะต่อยอด รู้ว่ายากแหละ รู้ว่าของแทร่แน่นอน แต่แค่ว่าเราจะลองดูสักตั้ง แต่พอไปจริงๆ เริ่มเรียนได้ประมาณ 2-3 อาทิตย์ กลับมาถามตัวเองว่า นี่ใช่สิ่งที่เราต้องการจะทำจริงๆ ไหม เพราะเกรซเป็นนักแสดงมา 20 ปี เราจำแล้วเราลืมเลย วันนึง 20 ซีน สมองเรามันถูกทำงานมาแบบนี้จนถึงวันที่เรามานั่งเรียน แล้วเราต้องจำ เราอยากจะจำให้มันขึ้นใจ แต่มันลืม มันเป็นอะไรที่ยากมาก มันท้อ ร้องไห้ เรียนหนังสือไปร้องไห้ไป มันเป็นความรู้สึกไม่แน่ใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ในช่วงที่ผ่านมา ในช่วงที่ปรับตัวไม่ได้ คำว่าทิ้งงาน ทิ้งเงิน เมื่อสักครู่ที่บอก คือมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าเราไม่สามารถจัดการตัวเองได้ ถ้าเราร้องเพลงกลางคืน 07.30 น.เราจะตื่นไปเรียนได้ไหม มันไม่มีทาง แล้วคือเรียนทั้งวันเราจะมีสมองไปรับสิ่งใหม่ได้ไหม มันไม่ได้ มันต้องแลก เรามี 24 ชม.เท่ากัน อยากฝากให้หลายคนที่กำลังเลือกหรือกำลังลังเลในชีวิตว่าจะเอายังไง ทุกคนมีเวลาเท่ากัน เราต้องแลก เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ เราต้องแลกและเราต้องเลือก ในช่วงที่ผ่านมายังไม่รับเลยจนถึงต้นปีหน้าที่เราสามารถเรียนและปรับตัวได้ ถามว่ายังมีมาไหม ยังมีมา ขอบคุณผู้ใหญ่มากๆ ที่ยังส่งมาให้ แต่เราก็เลือกแล้วว่าเราจะเลือกทางนี้จริงๆ”
เกรซ เผยต่อว่า “เกรซมีปัญหาเรื่องสุขภาพเยอะมากเลยค่ะ มันเรียกได้ว่ารวน 1.อวัยวะก็จะรวนต่อไปอีกหลายๆ อวัยวะ ปลายทางก็คือการนอนไม่หลับ มันมีวันที่ไม่สดชื่น ถ้าวันนั้นเรานอนหลับได้ดี วันรุ่งขึ้นเราจะมีพลังงานที่ดี เพราะเรานอนดี เราชาร์จพลังเต็มที่ เหมือนมือถือที่ชาร์จ 100% มันเริ่มจากเรานอนไม่เป็นเวลา และกินอาหารไม่เป็นเวลา ทำให้เป็นโรคกระเพาะ แล้วไปหาหมอที่โรงพยาบาล เขาก็ให้ยาลดกรด เพื่อให้กรดไม่หลั่งให้เซลล์ในกระเพาะได้ซ่อมแซมเนื้อเยื้อ ไม่แสบแผล ทำงานอยู่บางทีต้องนอนตะแคงซ้าย กินยาเคลือบกระเพาะ ลดกรดก็จะช่วย ณ ตรงนั้น แต่หารู้ไม่การกินยาลดกรดมันก็มีข้อดีของมัน แต่เกรซก็มีความเชื่อว่ายาที่เป็นเคมีพวกนี้ มันไปกดมันซ้อนไว้อยู่ใต้พรม แต่มันไม่ได้รักษาที่ราก คอร์สของมันจริงๆ คืออะไร คือไลฟ์สไตล์ที่เราไม่เปลี่ยน ใครหลายๆ คนที่มีโรคประจำตัว หาให้เจอว่าต้นเหตุมันคืออะไร แล้วคุณก็เปลี่ยน เพราะยาไม่ได้ช่วยคุณได้ เพราะยามีไว้ช่วยบรรเทาอาการ ณ ตอนนั้น แต่ต้องรักษาที่รากจริงๆ ซึ่งตอนนั้นเกรซหาเจอแล้วว่ามันคืออะไร มันคือการทำงาน แต่จะทำยังไงล่ะ มันคือความสุขของเรา มันคือหน้าที่ของเรา มันคือทุกสิ่งทุกอย่างของเรา เราแค่บาลานซ์มัน คืองานอย่างเรา มันเลือกเวลาไม่ได้ ซึ่งตอนนี้เป็นน้อยลง เพราะเราเลือกให้กับตัวเองได้มากขึ้น เพราะเราโตขึ้น เราเจอเนื้องอกที่ลำไส้ เรากินยาลดกรด พอได้เรียนเราเลยเข้าใจว่าทำไมเราถึงเป็น ซึ่งตอนรู้ว่าเราเจอเนื้องอก เราตกใจมาก แต่ก็ต้องส่องกล้องเอาออก ทุกอย่างมันเกี่ยวกัน พูดง่ายๆ ในท้องเรามันต้องการความสมดุลระหว่างกรดกับด่าง การที่เราทานยาลดกรด ตรงนี้เราสบายขึ้น แต่ลำไส้ไม่ เพราะลำไส้ก็มีหน้าที่ย่อย ก็ตรวจสุขภาพประจำปี รู้สึกว่าช่วงนี้มันทำงานหนักมาก แล้วเว้น 2 ปี จะไปส่องกล้องดูว่าตัวเองเป็นยังไง ก็เลยตรวจกระเพาะไปถึงลำไส้ด้วยเลย เราเลยได้เห็น คือมันไม่มีอาการอะไรบอกเลย มันเกิดจากการสะสมจากที่เรากินยาลดกรดเป็นเวลานาน รู้สึกดีว่าเจอเร็วแล้วจัดการมันได้”
ขอบคุณภาพประกอบจาก:คุยแซ่บShow