จากการที่นายกและสมาชิกสภา อบจ.สมุทรสงคราม และอีกทั่วประเทศจะครบวาระในวันที่ 19 ธ.ค. 2567 ขณะนี้แม้ กกต.จะยังไม่ประกาศวันเลือกตั้งออกมา แต่ผู้ที่สนใจจะเข้าไปดำรงตำแหน่งก็ออกมาเคลื่อนไหวกันแล้วอย่างคึกคัก โดยที่ จ.สมุทรสงครามต้องบอกว่าน่าจับตามองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตำแหน่งนายก อบจ.ขณะนี้มีผู้สนใจจะลงสมัครแล้ว 4 ราย แต่ละรายต้องบอกว่ามีสิทธิด้วยกันทั้งนั้น
รายแรกคือ น.ส.กาญจน์สุดา ปานะสุทธะ นายก อบจ.คนปัจจุบัน ขึ้นป้ายแนะนำตัวไปทั่วจังหวัดระบุข้อความ “ขอให้มั่นใจ” สานงานต่อเพื่อชาวสมุทรสงคราม และยังบอกว่าจะลงสมัครแบบอิสระไม่สังกัดพรรคการเมืองใด เพราะจากประสบการณ์แทบจะทุกสนามเลือกตั้งมีลักษณะบินเดี่ยวมาตลอด มีบทเรียนที่มาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ครั้งนี้ตั้งใจเต็มร้อยเพราะอยากสานต่อนโยบายสำคัญหลายด้าน เช่น โครงการกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตประชาชน กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง ซึ่ง อบจ.ใช้งบที่มีเพื่อช่วยเหลือตามความจำเป็น เช่น การซ่อมแซม การปรับปรุงบ้าน หรือเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความสะดวกให้กลุ่มเปราะบางเหล่านี้ทั้งที่เป็นไปตามภารกิจของหน่วยงานสังคมสงเคราะห์และที่ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือ โดยกองทุนดังกล่าวมีเงินเกือบ 6 ล้านบาทจึงอยากจะสานต่อโครงการนี้
รายที่ 2 นายพิสิฐ เสือสมิง อดีตนายก อบจ.สมุทรสงครามสมัยที่แล้วพ่ายแพ้ให้กับ น.ส.กาญจน์สุดา เพียงแค่ 1,899 คะแนน บอกว่าจะลงสมัครโดยไม่มีทีม สจ. เหตุผลที่ไม่จัดทีม สจ. เนื่องจากอยากให้การทำงานในสภาสมาชิกทุกคนมีอิสระเป็นตัวของตัวเอง ไม่อยากให้เกิดสภาวะพวกมากลากไป และไม่มีอำนาจของใครมาครอบงำ อีกทั้งที่ผ่านมาตนก็เดินหาเสียงคนเดียวมาตลอด และชื่อ “นายก พิสิฐ” เป็นที่รู้จักของชาวสมุทรสงครามและจำกันได้ดี เนื่องจากสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งปี 2554-2563 มีผลงานมากมายที่จับต้องได้ อย่างไรก็ตามเลือกตั้งครั้งนี้ตนจะปราศรัยตามจุดต่าง ๆ เพื่อบอกชาวสมุทรสงครามว่าระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง 9 ปีเศษนั้นได้ทำอะไรไว้บ้าง แต่จะไม่ใส่ร้ายป้ายสีใครจะพูดแต่ความจริงเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม และโปร่งใสตรวจสอบได้
รายที่ 3 นายเจษฎา ญาณประภาศิริ (สจ.กอล์ฟ) ประธานสภา อบจ.สมุทรสงครามคนปัจจุบัน รายนี้เตรียมความพร้อมก่อนใครมานาน ขณะนี้ก็ขึ้นป้ายแนะนำตัว “คนของประชาชน สมุทรสงคราม” แล้วทั่วจังหวัดเช่นกัน ที่สำคัญยังรวบรวมบรรดา ส.อบจ.เก่าจาก 24 เขต มาร่วมทีมได้มากกว่าครึ่ง โดยนายเจษฎา บอกว่ามีความมั่นใจ 100% และเชื่อว่าคนสมุทรสงครามมีความคิดเป็นของตนเอง คิดเป็น คิดได้และพร้อมให้โอกาสคนทำงาน ขึ้นอยู่ที่เราจะไขว่คว้าโอกาสนั้นได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามตนมีประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าการบริหารจัดการให้ได้ตรงตามความต้องการต้องพูดคุยกับสมาชิกสภาและผู้นำท้องถิ่น (อปท.) เนื่องจากเราต้องทำเพื่ออนาคต และตนอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงไปถึงยุคที่จะเติบโตต่อจากเราอย่างยั่งยืนด้วย อย่างไรก็ตามการบริหารงานตนจะเน้นรวดเร็ว ลดขั้นตอน และมีประสิทธิภาพ ตนเห็นปัญหามาหลายปีเรื่องการไม่ปรับคนให้เหมาะสมกับงาน และตนมีนโยบายชัดเจน เช่น ถ้าตั้งงบประมาณแล้วก็ต้องทำเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ไม่โยกย้ายไปทำอย่างอื่นที่ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่ผ่านการอนุมัติแล้ว เพราะภาษีของประชาชนทุกบาททุกสตางค์ต้องนำมาพัฒนาเพื่อประโยชน์สูงสุดของชาวสมุทรสงคราม
ส่วนรายที่ 4 น.ส.นันทิยา (เก่ง) ลิขิตอำนวยชัย รายนี้แม้จะเป็นคนหน้าใหม่ แต่ก็มีความรู้และประสบการณ์สูงเพราะเคยทำงานอยู่ใน อบจ.สมุทรสงครามในฐานะเลขานุการส่วนตัวสมัยที่นายอำนวย ลิขิตอำนวยชัย ผู้เป็นบิดาเป็นนายก อบจ.เมื่อปี 2551 โดย น.ส.นันทิยา บอกว่า ลงสมัครในนามพรรคประชาชน ตนอยากเข้าไปทำงานเนื่องจากที่เคยได้ทำงานใน อบจ. และลงพื้นที่ พบว่า จ.สมุทรสงคราม มีศักยภาพทั้งด้านเกษตร ประมง และการท่องเที่ยวอยู่มาก หากได้รับการสนับสนุนและดำเนินการอย่างถูกวิธี จะทำให้สามารถพัฒนาให้เป็นจุดแข็งที่จะนำมาซึ่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่จะเข้ามาสู่จังหวัดและลงไปสู่ระดับรากหญ้าได้ อีกทั้ง จ.สมุทรสงคราม จะเข้าสู่สังคมสูงวัย ระบบสาธารณสุขและการดูแลผู้สูงอายุควรมีอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารภายใต้นิยามการเมืองรุ่นใหม่ คือการทำการเมืองท้องถิ่นที่รับฟังความคิดเห็นและความต้องการของคนในพื้นที่ เราต้องการฟังเสียงของประชาชนแล้วนำมาทำเป็นนโยบาย ตนมีความตั้งใจที่จะใช้ความรู้ที่ศึกษามาในหลายแขนง ความสามารถและประสบการณ์จากการทำงานนำมาพัฒนาจังหวัดให้เจริญยิ่งขึ้น จึงขอให้ชาวสมุทรสงครามเชื่อมั่นและให้โอกาสตนเข้าไปบริหาร อบจ.ตนจะไม่ทำให้คนสมุทรสงครามผิดหวังอย่างแน่นอน
ณ วันนี้ต้องบอกว่าทั้ง 4 คนมีโอกาสพอ ๆ กัน ส่วนใครจะได้เก้าอี้นายก อบจ.สมุทรสงคราม ตัวนี้ไปครองก็ต้องใช้ความสามารถและกลยุทธ์ดึงคะแนนคู่แข่งไปเพิ่มให้ตัวเองให้ได้มากที่สุด จึงอยู่ที่ชาว จ.สมุทรสงคราม ว่าจะตัดสินใจเลือกใคร.
มานพ จันทร์ฤทธิ์