เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.) นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. แถลงข่าวการเปิดใช้งานระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล(Automated Biometric Identification System: Biometric) ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.67 ท่าอากาศยาน 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) จะนำระบบ Biometric  ด้วยเทคโนโลยีจดจำใบหน้า(Facial Recognition) มาใช้ในการระบุตัวตนของผู้โดยสารที่เดินทางเที่ยวบินภายในประเทศ และจะเริ่มในผู้ที่เดินทางระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.67 จะช่วยให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว รวมทั้งช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวยาวของแต่ละจุดบริการภายในท่าอากาศยาน ตั้งแต่ขั้นตอนการเช็กอิน จนถึงขึ้นเครื่องบิน

นายกีรติ กล่าวต่อว่า ทอท. มั่นใจว่าระบบ Biometric จะทำให้ผู้โดยสารทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว ใช้เวลาน้อยในแต่ละจุดบริการ ซึ่งภาพรวมเดิมจากขั้นตอนการเช็กอิน จนถึงขึ้นเครื่องบิน จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที แต่เมื่อใช้ระบบดังกล่าวทำให้ลดเวลาเหลือประมาณ 10 นาที ทำให้ผู้โดยสารมีเวลาเพียงพอที่จะเดินเล่น เลือกซื้อสินค้าปลอดอากรและของฝาก รับประทานอาหาร หรือพักผ่อนหย่อนใจ อย่างไรก็ตามการใช้ระบบ Biometric ผู้โดยสารจำเป็นต้องยินยอมให้ใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลด้วย โดยในระยะแรกนี้จะเป็นการจัดเก็บข้อมูลในการเดินทางเพียงครั้งเดียว แต่ในอนาคตมีแผนจะให้สามารถจัดเก็บข้อมูลไว้ได้ 2 ปี ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล(PDPA)

นายกีรติ กล่าวอีกว่า การใช้งานระบบ Biometric ผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนได้ที่สนามบิน มี 2 วิธี ได้แก่ 1.เช็กอินที่เคาน์เตอร์เช็กอิน และ 2. เช็กอินที่เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (เครื่อง CUSS) โดยหลังจากเช็กอินแล้ว ให้ผู้โดยสารเลือกสายการบินที่เดินทาง ต่อด้วยเลือก “Enrollment” จากนั้นสแกน barcode จากบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) เสียบหนังสือเดินทาง (Passport) หรือบัตรประชาชน และสแกนใบหน้าเป็นขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งระบบฯ จะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลใบหน้า และข้อมูลเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารไว้ในระบบฯ เมื่อผู้โดยสารจะโหลดกระเป๋าสัมภาระผ่านเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (เครื่อง CUBD) ตลอดจนผ่านจุดตรวจค้น รวมทั้งขั้นตอนขึ้นเครื่อง ก็ไม่ต้องแสดง Passport และ Boarding Pass อีกต่อไป

นายกีรติ กล่าวด้วยว่า ความผิดพลาด(Error) ของระบบนี้น่าจะไม่ถึง 1% โดย ทอท. จะจัดเตรียมเจ้าหน้าที่บางส่วนไว้คอยดูแลแก้ปัญหาให้กับผู้โดยสาร อย่างไรก็ตามระบบ Biometric มีกระบวนการที่แม่นยำมากกว่าการดำเนินการในระบบเดิมที่มีเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรโดยสาร ซึ่งระบบใหม่นี้ต้องมีการรีเช็กอัตลักษณ์บุคคลโดยตรงถึง 3 จุดสำหรับเดินทางในประเทศ และ 4 จุดสำหรับเดินทางระหว่างประเทศ จึงมีความปลอดภัยต่อการทำการบินมากขึ้น

นายกีรติ กล่าวอีกว่า ในปีงบประมาณ 67 (ต.ค.66-ก.ย.67) มีผู้โดยสารมาใช้บริการ 6 สนามบิน รวมกว่า 119.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น ระหว่างประเทศ 72.67 ล้านคน เพิ่มขึ้น 34.82% และภายในประเทศ 46.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.01% ขณะที่มีเที่ยวบินรวม 732,690 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.5% แบ่งเป็น ระหว่างประเทศ 416,190 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 29.63% และภายในประเทศ 316,500 เที่ยวบิน ลดลง 0.73% โดยเฉพาะที่ ทสภ.มีผู้โดยสาร 60 ล้านคน เพิ่มขึ้น 24.04% และมีเที่ยวบิน 346,680 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 17.88%

ส่วน ทดม.ผู้โดยสาร 29.15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.25% และเที่ยวบิน 197,250 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 11.47% ด้าน ทชม. ผู้โดยสาร 8.82 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.14% และเที่ยวบิน 57,780 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.68% สำหรับ ทชร.ผู้โดยสาร 1.9 ล้านคน ลดลง 1.96% และเที่ยวบิน 12,260 เที่ยวบิน ลดลง 3.37% ขณะที่ ทภก. ผู้โดยสาร16.40 ล้านคน เพิ่มขึ้น 25.94% และเที่ยวบิน 98,710 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 19.97% และ ทหญ.ผู้โดยสาร 3.03 ล้านคน ลดลง 5.14% และเที่ยวบิน 19,730 เที่ยวบิน ลดลง 5.84% ทั้งนี้มีผู้โดยสาร 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน อินเดีย เกาหลีใต้ รัสเซีย และญี่ปุ่น

นายกีรติ กล่าวด้วยว่า สำหรับในปีงบประมาณ 68 (ต.ค.67-ก.ย.68) คาดว่าจะมีผู้โดยสารมาใช้บริการรวมกว่า 129.97 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น ระหว่างประเทศ 78.61 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.17% และภายในประเทศ 51.36 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10.18% ส่วนเที่ยวบินรวม 808,280 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.32% แบ่งเป็น ระหว่างประเทศ 453,750 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.02% และภายในประเทศ 354,530 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 12.02% โดยเฉพาะที่ ทสภ.คาดว่าจะมีผู้โดยสาร 64.44 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.40% และมีเที่ยวบิน 376,820 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.69% ส่วน ทดม.มีผู้โดยสาร 33.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.91% และมีเที่ยวบิน 223,200 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 13.00%.