สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ว่ากระทรวงการต่างประเทศอิหร่านออกแถลงการณ์ ว่าอิหร่าน “มีสิทธิและความชอบธรรม” ที่จะป้องกันตนเอง “จากความก้าวร้าวทุกรูปแบบ” ตามที่ระบุอยู่ในมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ( ยูเอ็น )


อิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายหลายแห่งในอิหร่าน เมื่อช่วงรุ่งสางของวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อตอบโต้การยิงขีปนาวุธของอิหร่าน เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ อิสราเอลยืนยันว่า เป้าหมายทั้งหมดที่โจมตีเกี่ยวข้องกับ “กิจการทหาร” ของอีกฝ่ายเท่านั้น ส่วนใหญ่เน้นพื้นที่รอบกรุงเตหะราน และพื้นที่บางแห่งทางตะวันตกของอิหร่าน


ด้านกระทรวงกลาโหมอิหร่านออกแถลงการณ์ ว่าความเสียหายเชิงโครงสร้างจากปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลครั้งนี้ “อยู่ในวงจำกัด” แต่มีทหารเสียชีวิตอย่างน้อย 2 นาย


ทั้งนี้ พล.ร.ต.ดาเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอล กล่าวว่า ปฏิบัติการทั้งหมด “เป็นไปตามแผนการและบรรลุเป้าหมาย” สามารถทำลายระบบขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศของอิหร่าน และยังทำลาย “ขีดความสามารถในการโจมตีทางอากาศ” ของอิหร่าน “ได้อีกจำนวนหนึ่งด้วย” พร้อมทั้งเตือนว่า หากอิหร่านคิดตอบสนองกับการโจมตีครั้งนี้ของอิสราเอล จะถือเป็น “การเริ่มต้นการยั่วยุรอบใหม่” และสร้างความชอบธรรมอีกครั้งให้กับอิสราเอลในการตอบโต้ “อย่างสาสม”

อนึ่ง ปฏิบัติการโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ เกิดขึ้นเกือบ 1 เดือน หลังกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน ( ไออาร์จีซี ) ยิงขีปนาวุธราว 200 ลูก ใส่อิสราเอล เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลสังหารพันธมิตรหลายคนในแนวร่วม “อักษะแห่งการต่อต้าน” รวมถึงนายฮัสซัน นาสราลเลาะห์ ผู้นำสูงสุดของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และนายอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำสูงสุดฝ่ายการเมืองของกลุ่มฮามาส.

เครดิตภาพ : AFP