เมื่อวันที่ 23 ต.ค.รายการโหนกระแสวันนี้ คุยกันเรื่อง ดิ ไอคอน หลังได้อีก 2 ตัวตึง อย่าง “ทนายตั้ม” และ “อัจฉริยะ” จากคู่แค้นที่หักกันมานาน 6 ปี กลับมาจับมือกันเพื่อลุยกับคนที่เกี่ยวข้องในคดีนี้แล้ว

ทนายตั้ม และ คุณอัจฉริยะ เล่าว่า เมื่อปี 2561 เป็นต้นมา มีปัญหาทะเลาะกันรุนแรง จนมีคดีความฟ้องร้องกัน ทนายตั้มฟ้องนายอัฉริยะไปร่วม 30 คดี ไม่ใช่แค่คดีของตน แต่ใครที่มีปัญหากับคุณอัจฉริยะ ตนเปิดรับทำคดีให้หมด ตลอด 6 ปี

แต่วันนี้เรื่องราวมันผ่านมา นายอัจฉริยะมีความพยายามที่จะเข้ามาพูดคุยเจรจา แต่ทนายตั้มก็บอกว่า ตอนนั้นมีอีโก้เยอะ ทำให้ไม่ยอมคุย แต่สุดท้ายมาแพ้วาทศิลป์ของ เอก สายไหมต้องรอด ที่เขาอาสาเป็นคนกลางให้ช่วยประสานให้พี่อัจมาคุยเคลียร์ใจกับตน

ทนายตั้ม อธิบายข้อครหาที่มีหลายคนเรียกว่า “ทนายสีเทา” จากการที่ใช้ของแบรนด์เนม ดูร่ำรวยเกินกว่าอาชีพทนายทั่วไป เงินเหล่านี้ได้มาจากลูกความคนหนึ่งที่เป็นคนไทย ที่อยู่ในต่างประเทศ เขาทำธุรกิจหลายอย่างในประเทศไทย ที่จ้างให้ตนช่วยดูแลทำธุระต่างๆในเมืองไทยแทนเขา ที่เห็นว่าตนไปเมืองนอก ตนไปกับลูกความ  รายได้ต่างๆ ที่ได้มา ได้มาจากมหาเศรษฐีคนนี้เป็นส่วนใหญ่ เขาซัปพอร์ตแทบทุกอย่าง เคยได้เงินจากเขามาถึง 2 ล้านยูโร ที่เขาให้มาเพื่อจะเอาเงินเหล่านี้เข้ามาในไทยโดยไม่เสียภาษี 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ส่วนเรื่องรับเงิน 70 ล้าน (2 ล้านยูโร) มันเป็นเงินที่รับมาเพื่อให้ไปจัดการคุณชูวิทย์หรือไม่ ไปดูไทม์ไลน์ได้ ว่ามันคนละช่วงเวลากัน ไม่ได้เกี่ยวกัน แล้วสุดท้ายเคสพิพาทกับคุณชูวิทย์ เขาก็ออกมาบอกว่าเข้าใจตนผิดไปเรื่องเว็บพนัน มันก็จบไปแล้ว

ทนายตั้มบอกว่า เรื่องทั้งหมดที่ออกมาพูด ถ้าตนไม่มั่นใจ ว่าตรงไปตรงมา ตนคงไม่กล้าพูดออกรายการขนาดนี้ ยืนยันว่าพร้อมให้ตรวจสอบได้หมด

ส่วนที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ทนายตั้ม ไปรับงานบิ๊กโจ๊ก ให้ไปดำเนินคดีคนนั้นคนนี้จริงไหม ก็ต้องบอกว่า ตนสนิทสนมกับบิ๊กโจ๊กจริง แต่การที่ตนไปดำเนินคดีกับ บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ หรือ บิ๊กต่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับประโยชน์ของบิ๊กโจ๊กเลย แม้แต่การที่ตนไปจี้ดำเนินคดีกับบิ๊กต่อ ยิ่งทำให้บิ๊กโจ๊กเดือดร้อนกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ บิ๊กโจ๊กยังเคยขอให้ตนหยุดด้วยซ้ำ แต่ตนไม่ฟัง

ส่วนทาง อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ก็เจอข้อครหาว่า เป็นนักรีดทรัพย์ตำรวจ นายอัจฉริยะบอกว่า ใครจะพูดถึงตนอย่างไรก็ได้ แต่ถามว่าเคยมีหลักฐานสักคนไหม ถ้าตนไปรีดไถตำรวจจริง ถามว่าตำรวจจะปล่อยตนไว้ขนาดนี้ไหม ถ้าล่อซื้อ ล่อจับตนได้วันไหน มันกลายเป็นข่าวใหญ่แน่นอน แต่ก็เพราะว่าตนไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ตนมั่นใจในการทำงานของตัวเอง กล้าชนกับคนมีอำนาจมากมาย และไม่เคยไปขดรีดหาประโยชน์อะไรจากใคร

ส่วนเรื่องคลิปของแตงโม นิดา ที่นายอัจฉริยะ ออกมาเปิดเผยว่ามีคลิปหลักฐานสำคัญต่างๆ แต่ไม่เคยมีใครได้เห็น และทำให้ตนถูกด่ามาตลอดเป็นปีๆ ตนเอาไปเปิดในศาล ไปแถลงต่อศาลแล้ว และศาลจะมีคำพิพากษาในวันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งสุดท้ายทุกคนจะได้รู้ความจริงเอง

นายอัจฉริยะ ยังออกมาแฉพฤติกรรมของ “นักร้องหญิง” ที่เพิ่งมาออกรายการโหนกระแส โดยบอกว่า ตนเป็นคนที่รู้พฤติการณ์ของนักร้องคนนี้ดีที่สุด เดิมทีสามีเขาเป็นตำรวจอยู่ที่ บก.ปคบ. เวลามีผู้เสียหายมาร้องกับลเมีย เมียจะส่งให้สามีเป็นคนรับผิดชอบคดี

 โดยฝ่ายนักร้องหญิง จะขอส่วนแบ่งจากค่าเสียหายที่เรียกคืนมาได้ ในสัดส่วนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่เรื่องขอส่วนแบ่งจากผู้เสียหายไม่ได้ผิดกติกา ถ้าเป็นคนรวยตนก็เรียกเหมือนกัน เพราะการทำคดีสักคดี เราต้องออกค่าดำเนินการต่างๆ ให้หมด ไม่ได้ทำฟรี

แต่ที่ซับซ้อนก็คือ ฝ่ายสามีที่เป็นตำรวจ พอรับคดีที่ผู้เสียหายมาร้องกับเมียตัวเอง ก็จะเรียกผู้ประกอบการมา ขู่ว่าถ้าไม่คืนเงินผู้เสียหาย ไม่เคลียร์ให้เขา ก็จะดำเนินคดี พอผู้ประกอบการยอมจ่ายให้ผู้เสียหายแล้ว ตำรวจที่เป็นสามีก็จะบอกให้จ่ายเงินให้เมียตัวเองด้วย เขาจะได้ไม่ต้องไปยุ่ง ไปร้องเรียนอะไรกับคุณอีก แล้วบางทีก็ต้องจ่ายให้ตำรวจที่เป็นสามีอีก ได้เงินจากหลากหลายทาง

 สิ่งที่ตนพูด ตนมีหลักฐานหมด บอกเลยว่าในประเทศไทย ไม่มีใครรู้จักนักร้องหญิงคนนี้ดีเท่ากับตน เพราะตนเคยมีคดีกับเขา สามีเขาเคยฟ้องตนมาแล้ว

อีกเรื่องคือการที่ DSI เข้าไปยึดทรัพย์สินของบอสพอล ได้ของกลางเป็นทรัพย์สินจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือนาฬิกาหรู 19 เรือน ที่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นนาฬิกาปลอม ปลอมยันกล่อง ต้องถามว่าเจ้าหน้าที่ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเป็นนาฬิกาปลอม สิ่งที่ตนอยากตั้งคำถามก็คือว่า DSI เข้าไปตรวจยึดทำไม ในเมื่อคดีนี้สำนวนยังอยู่กับสอบสวนกลาง สอบสวนกลางเป็นเจ้าภาพ แล้ว DSI ไปเกี่ยวอะไรด้วย

อย่างไรก็ตาม ทนายตั้มให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทาง DSI เขาทำสำนวนขึ้นมา เพื่อสอบสวนควบคู่กันไป จริงๆก็ต้องบอกว่าทำได้ ไม่ได้ผิดอะไร

ขณะที่ประเด็นของ “ท่านประธาน ส.” ทนายตั้มได้พยานปากสำคัญที่เป็นคนใกล้ตัว เป็นเด็กซื้อน้ำที่ใกล้ตัวเขา เป็นคนที่ถูกใช้ไปกดเงินจากบัญชีม้า เอาเงินสดออกมาให้เขา ซึ่งพยานคนนี้เขาบอกกับทนายตั้มว่า ช่วงที่ทำงานให้ท่านประธาน ส. ก็โดนทำร้ายร่างกาย ตบตีอะไรต่างๆ ทำให้วันนี้เขามาหาตน ตนพาเขาไปให้การกับ DSI แล้วเอาผิดเรื่องฟอกเงินต่อ สุดท้ายทราบว่า เขาเครียดมาก แล้วเห็นว่าโทรไปบอกเพื่อนแล้วว่า ถ้าเขาไปไม่รอดจริง ถ้าต้องไปติดคุก ก็ถือซะว่าไปเที่ยว

เรื่องนี้อยากรู้ว่า พรรคพลังประชารัฐ จะดำเนินคดีอะไรต่างๆ นอกจากปลดเขาจากโฆษกไหม แล้วตำแหน่งแห่งหนในสภา หรือเป็นสมาชิกพรรค ก็ต้องถามว่าทางพรรคจะดำเนินการอะไรยังไงต่อหรือไม่

ขณะที่นายอัจฉริยะ บอกว่า ในเคสของดิ ไอคอน มีอีกเรื่องที่สำคัญคือการเพิกถอนใบอนุญาต ต้องฝากไปถึงรัฐมนตรีน้ำ จิราพร เรื่องนี้ท่านดำเนินการช้าเกินไปไหม ถ้าไม่ยึดใบอนุญาต มันก็ไม่จบ พวกแม่ข่ายอะไรเหล่านี้ก็ยังไปทำผิดต่อไปเรื่อยๆ

นอกจากนี้ นายอัจฉริยะยังเปิดประเด็นใหม่ในรายการ เรื่องผู้เสียหายมาร้องเรียนผลิตภัณฑ์ของ 3 ดารา เป็นธุรกิจของ สส.เพื่อไทยที่มี 3 ดาราเป็นพรีเซนเตอร์ ทราบว่าทำตั้งแต่ปี 61 และมีผู้เสียหายมาร้องว่า เป็นตัวแทนของแบรนด์นี้แล้วขายไม่ได้ สินค้าที่อ้างว่านำเข้าจากเกาหลี  แท้จริงก็ผลิตที่ลำลูกกา ปทุมธานี

เรื่องนี้ร้อนถึงครูกะปิ ต้องโทรหา ต้นหอม ศกุนตลา ซึ่งถูกอ้างชื่อพาดพิงในรายการโดยด่วน ซึ่งต้นหอมได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า ธุรกิจที่ว่านี้มันเจ๊งไปหลายปีแล้ว เราเลิกทำ ไม่มีสินค้ามา 5-6 ปีแล้ว แล้วทำไมถึงมีผู้เสียหายออกมาร้องเรียนอีกในตอนนี้ มันแปลกไปหมด เข้าใจว่าพอมีเรื่อง ดิ ไอคอน คนก็เลยสนใจเรื่องธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดารา แต่ไม่ใช่ว่าทุกแบรนด์มันจะต้องเหมือนกับดิ ไอคอนทั้งหมด

ตอนที่ทำแบรนด์ดังกล่าว ต้นหอมบอกว่า ก็ได้เยียวยาตัวแทนของแบรนด์ทุกคน ถ้ารับของไปแล้วขายไม่ได้ เข้ามาเคลมสินค้า เอาแพคเกจใหม่ สินค้าใหม่ ไปขายหาเงินชดเชยได้ถึง 4-5 รอบ ทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้ ขอยืนยันว่า เราทำธุรกิจสุจริตจริงๆ สุดท้ายมันก็เจ๊ง ขาดทุน เราก็เลิกทำ แล้วก็เยียวยาทุกคน รับผิดชอบทุกคนจริงๆ ก็ต้องถามว่า แล้วผ่านมา 6 ปี ทำไมเรายังต้องมาตอบคำถามอะไรเรื่องนี้อีก

สุดท้าย อัจฉริยะบอกว่า เรื่องนี้ตนไม่ได้บอกว่าดาราผิด ต้นหอมผิด ก็ต้องบอกว่า ได้รับการร้องเรียนมา ตนก็ต้องไปสอบผู้เสียหาย แล้วก็ต้องมาขอข้อเท็จจริงจากต้นหอมเหมือนกัน ส่วนถ้าไม่ผิด ตนจะไลฟ์แถลงความจริง คืนความเป็นธรรมให้คุณต้นหอมอยู่แล้ว

ขอบคุณเพจโหนกระแส