จากสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ การเกษตรในเขตภาคเหนือส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อสวนไม้ผลของเกษตรกรได้รับความเสียหาย เป็นวงกว้าง โดยเฉพาะส้มเขียวหวาน ส้มโอ ลำไย และทุเรียน ในการฟื้นฟูไม้ผล และการปลูกไม้ผลหลังประสบอุทกภัยเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติในพื้นที่ที่กำลังได้รับความเสียหายได้อย่างถูกต้องการฟื้นฟูไม้ผล หลังประสบอุทกภัย   เกษตรกรควรจะต้องมีการบำรุงรักษาไม้ผลให้เกิดรากใหม่และให้แตกใบอ่อนโดยเร็วขณะเดียวกันต้องมีการจัดการดินให้ถูกต้องด้วย

ขั้นตอนการปฏิบัติมีดังนี้ คือ

1. หลังน้ำท่วมใหม่ๆ  ขณะที่ดินยังเปียกอยู่  ห้ามนำเครื่องจักรกลหนักเข้าไปในพื้นที่ และห้ามบุคคล  รวมทั้งสัตว์เข้าไปเหยียบย่ำบริเวณโคนต้นพืชโดยเด็ดขาด  เพราะดินที่ถูกน้ำท่วมขังจะมีโครงสร้างง่ายต่อการถูกทำลาย  และเกิดการอัดแน่นได้ง่าย    ซึ่งเป็นผลเสียต่อการไหลซึมของน้ำ รวมทั้งจะกระทบกระเทือนต่อระบบรากของพืช ทำให้ต้นไม้ทรุดโทรม และอาจตายได้

2. ในพื้นที่ที่ยังมีน้ำท่วมขัง ควรหาทางระบายน้ำออกจากบริเวณโคนต้นพืชโดยเร็ว   โดยอาจขุดร่องระบายน้ำให้ไหลออกจากพื้นที่ให้มากที่สุด

3. ในสภาพน้ำท่วมที่มีการชะพาเอาดิน หรือทรายมาทับถมในบริเวณแปลงปลูกไม้ผล  หรือไม้ยืนต้นหลังจากน้ำลดลงและดินแห้งแล้วควรทำการขุดหรือปาดเอาดินหรือทรายออกจากโคนต้นพืช  นอกจากนี้ควรมีการตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ทรงพุ่มโปร่ง  เป็นการลดการคายน้ำของพืชและเร่งให้พืชแตกใบใหม่เร็วขึ้น สำหรับไม้ผลที่กำลังติดผลให้ทำการปลิดผลออกบ้าง เพื่อช่วยต้นพืชอีกทางหนึ่ง

4. เพื่อช่วยให้ต้นพืชตั้งตัวเร็วขึ้น  ควรมีการพ่นปุ๋ยทางใบให้แก่พืช เพราะในระยะนี้ระบบรากของพืชยังไม่สามารถดูดกินธาตุอาหารพืชจากดินได้ตามปกติ  ปุ๋ยทางใบอาจใช้ปุ๋ยน้ำสูตร 12 – 12 – 12  หรือ 12 – 9 – 6  หรือจะใช้ปุ๋ยเกล็ดสูตร 21 – 21 – 21 และ 16 – 21 – 27  ละลายน้ำพ่นให้แก่พืชก็ได้     นอกจากนี้สามารถเตรียมปุ๋ยทางใบที่มีส่วนผสมของ น้ำตาลเด็กซ์โตรส 600 กรัม (6 ขีด)  ฮิวมิคแอซิด 20 ซีซี (2.5 ช้อนแกง) ปุ๋ยเกล็ดสูตร 15 – 30 – 15  จำนวน 20 กรัม (1.5 ช้อนแกง)   โดยผสมสารดังกล่าวในน้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ)      ควรเติมสารจับใบลงไปเล็กน้อย และอาจใส่สารป้องกันกำจัดโรคและแมลง ตามความจำเป็น  ควรพ่นสัก 2 – 3 ครั้ง

5. ไม้ผลหรือไม้ยืนต้น ภายหลังน้ำท่วม   มักจะหนีไม่พ้นปัญหาเรื่องรากเน่าและโคนเน่า   เพราะรากต้องอยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ   ทำให้ขาดออกซิเจน (อากาศ) ดังนั้นเมื่อดินแห้งแล้วควรมีการพรวนดิน เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้แก่รากพืช ทำให้รากพืชแตกใหม่ได้ดีขึ้น

6. ในพืชที่ที่มีปัญหาของโรครากเน่า และโคนเน่า  ที่เกิดจากเชื้อรา หลังจากน้ำลดแล้วหากพืชยังมีชีวิตอยู่  ให้ราดโคนต้นพืช หรือทาด้วยสารเคมีกันรา  เช่น เมตาแลคซิล หรือ ฟอสเอทิล- อลูมินั่ม (อาลิเอท)   (กรณีเกิดแผลที่โคนต้นพืชจะถากเนื้อเยื่อพืชที่เสียออกแล้วทาด้วยสารเคมี) โดยสารเคมีดังกล่าวจะใช้กับอาการรากเน่า และโคนเน่าที่เกิดจากเชื้อราพิเที่ยม (Pythium spp.) หรือไฟทอปธอรา (Phytophthora spp.)สำหรับโรครากเน่าและโคนเน่า       ที่เกิดจากเชื้อราชนิดอื่นๆ   เช่น เชื้อราฟูซาเรี่ยม (Fusarium spp.)    ไรซ็อกโทเนีย  (Rhizoctonia spp.) หรือสเคลอโรเที่ยม (Sclerotium spp.) ให้ราดโคนต้นด้วยสารเคมีพีซีเอ็นบี หรือ เทอร์ราคลอร์ นอกจากนี้อาจมีการปรับปรุงสภาพของดินไม่ให้เหมาะสมต่อการเกิดโรค โดยการโรยปูนขาวหรือโดโลไมท์ เพื่อให้ดินมีสภาพเป็นด่างเพียงเล็กน้อย

การปลูกพืชหลังประสบอุทกภัย ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย เมื่อน้ำลดแล้ว และต้องการจะปลูกพืช อาจทำได้ 2 วิธีคือปลูกแบบไถพรวนน้อยครั้งโดยใช้เครื่องมือที่มีน้ำหนักเบา และกระทำหลังจากที่ดินเริ่มแห้งเป็นการกำจัดวัชพืชไปด้วยในตัว และลดการรบกวนดินและปลูกแบบไม่ไถพรวน  วิธีนี้เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ยังเปียกชื้นอยู่

การเลือกปลูกไม้ผล ควรพิจารณาความต้องการของตลาดด้วย  และควรปลูกไม้ผลที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น ให้ผลผลิตเร็ว  ควบคู่กับไม้ผลที่มีอายุการเก็บเกี่ยวนานแต่มีศักยภาพทางการตลาดสูง เป็นการวางแผนในระยะยาว

 ก่อนปลูกพืช หากดินแห้งพอที่จะไถได้ ควรไถดินตากแดดสัก 2-3 วันก่อน (ควรเลือกใช้เครื่องมือที่มีน้ำหนักเบา)  หากไถไม่ได้ ก็ใช้วิธีขุดหลุมปลูกให้ได้ขนาดพอเหมาะตามชนิดของพืช แล้วผสมปุ๋ยคอก  และปูนขาวเล็กน้อยรองก้นหลุมเพื่อปรับปรุงดิน   หากเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาเรื่องโรครากเน่า และโคนเน่า  ควรราดหรือโรยก้นหลุมด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราในดิน  เช่น เมตาแลคซิลฟอสเอทิล – อลูมินั่ม    หรือ พีซีเอ็นบีเทอร์ราคลอร์  แล้วแต่ชนิดของเชื้อสาเหตุ หรือจะใช้วิธีจุ่มรากของกล้าพืชในสารเคมีดังกล่าวก่อนจะปลูกก็ได้

หลังปลูกพืช ควรมีการใส่ปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยคอกเป็นระยะๆ เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพืชมีการปฏิบัติดูแลรักษาต้นพืช และการป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช ตามคำแนะนำสำหรับพืชแต่ละชนิด อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้จากหน่วยงานของกรมวิชาการเกษตรในพื้นที่