เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 21 ต.ค. ที่ บริเวณด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ผู้ต้องหาในคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ได้เดินทางมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อเข้าเยี่ยมบอสพอล (ลูกความ) ก่อนออกมาเปิดเผยภายหลังเข้าเยี่ยม กรณีนักร้องเรียนหญิงอักษรย่อ ก. ที่มีการตบทรัพย์บอสพอล 10 ล้านบาท ว่า ตนรู้อยู่แล้วว่าใคร และรู้รายละเอียดลึก ๆ แต่แรก มีพยานบุคคลยืนยัน ซึ่งเงินจำนวน 10 ล้านบาทจ่ายกันอย่างไรตนไม่ทราบ แต่ไม่ใช่การแบ่งจ่าย แต่ก็มีเงินก้อนสุดท้าย 400,000 บาท เป็นการจ่ายเงินสด อ้างว่าเป็นค่าถ่ายเอกสาร โดยไทม์ไลน์เงินก้อน 10 ล้านบาทเกิดขึ้นในปีนี้ (2567) ช่วงเดือน ก.พ.-พ.ค. 67 ซึ่งผู้หญิงคนนี้มีการถูกแนะนำมาอีกทีนึง พฤติการณ์ที่ผู้หญิงคนนี้มาข่มขู่บอสพอล ตนไม่ทราบ เพราะออกไปปัสสาวะ แต่พฤติกรรมก็คือเหมือนนักร้องทั่วไป ถามทำนองว่าอยากให้ถอนเรื่องร้องเรียนไหม ถ้าอยากให้ถอนก็ใช้พฤติกรรมแบบรีดเอาทรัพย์ เพราะเธออ้างว่าจะไปร้องตำรวจ ปคบ. ฐานที่บริษัท ดิไอคอนฯ เป็นธุรกิจขายตรง และแชร์ลูกโซ่ ซึ่งที่ถูกรีดทรัพย์นั้น ตนอยากให้มองว่าคนทำธุรกิจทุกคนไม่ใช่คนแข็งแกร่ง อย่างลูกความตนบางรายเเข็งแกร่งรีดเอาทรัพย์เท่าไรก็ไม่ขอจ่าย ยอมมีเรื่อง แต่บางรายไม่อยากมีปัญหาหรือกระทบธุรกิจ ซึ่งในไทยมีธุรกิจแบบนี้เยอะและถูกตบทรัพย์เยอะมาก คนทำธุรกิจก็ไม่อยากต้องมาขึ้นโรงขึ้นศาลหรือเจอเจ้าหน้าที่ ถ้ามันจบได้ก็จบ ส่วนจะมีนักร้องเรียนอื่น ๆ อีกหรือไม่ ไม่ขอตอบ

ทนายวิฑูรย์ กล่าวด้วยว่า ตนไม่รู้จักนาย ส. มาไม่ทัน ส่วนกรณีที่เมื่อช่วงเช้า ทนายตั้มได้ไปร้องดีเอสไอให้ดำเนินคดีฟอกเงินแก่นาย ส. เพราะมีพฤติการณ์ไปรีดทรัพย์ 1 ในผู้บริหารบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ เมื่อวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมานั้น ตนไม่มีรายละเอียดเรื่องนี้ มัวแต่ทำเรื่องตีเยี่ยมลูกความ ไม่ได้ดูข่าว ย้ำว่าไม่กังวลเรื่องพฤติกรรมเกี๊ยะเซียะกัน ถือว่าเป็นสิทธิของทนายตั้ม

ทนายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า กรณีเมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่บอสพอลเข้าให้ข้อมูลกับ สคบ. แต่ยังให้ไม่แล้วเสร็จกลับถูกตำรวจ ปคบ. จับกุมตามหมายจับศาล ตนจึงขอเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ สคบ. ว่า หากไปดำเนินการยกเลิกใบอนุญาตตลาดแบบตรงของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ทั้ง ๆ ที่การให้ข้อมูลยังไม่ครบถ้วน ตนจะแจ้งดำเนินคดี สคบ. ต่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ในข้อหา ม.157 ตนมองว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะทำแน่นอน เพราะรู้ว่าในวงการกฎหมายตนเป็นคนยังไง และตนไม่ได้ขู่ สคบ. เพราะเรายังให้การไม่จบ ซึ่งการจะยกเลิกใบอนุญาตได้นั้น ทางบอสพอลต้องให้ข้อมูลจบสิ้นก่อน สคบ. จึงจะพิจารณาหลักฐานและเอกสารที่เราส่งให้ว่ามันเป็นอย่างไร น้ำหนักของการร้องเรียนมีมากกว่าสิ่งที่เราชี้แจง แล้วจะเพิกถอน เราก็ยังอุทธรณ์เพิกถอนคำสั่งได้ แต่ถ้าจะไม่ฟัง จะเพิกถอนเลย ก็คงจะมีเรื่องกันแน่ ลองดูก็ได้