เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) พร้อมด้วยนายศักดา ตรีเดช ผอ.ส่วนนวัตกรรมคุณภาพอากาศและเสียง กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง ร่วมแถลงข่าวการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 และการเตรียมรับมือในปี 2568

น.ส.ปรีญาพร กล่าวว่า สถานการณ์ฝุ่นPM2.5 ในพื้นที่กทม.และปริมณฑล จะเริ่มมีแนวโน้มที่สูงขึ้นในช่วงปลายเดือนพ.ย. ซึ่งมีความกดอากาศสูงจากประเทศจีนเข้าปกคลุมประเทศไทย ทำให้ฝุ่นเริ่มสะสมตัว จากการประเมินปี 2567 ดีขึ้นกว่าปี 2566 เพราะมีจุดความร้อนลดลงถึงร้อยละ 22 และจำนวนวันที่มีฝุ่นเกินมาตรฐาน ลดลงถึงร้อยละ 11 สำหรับการเตรียมรับมือสถานการณ์ฝุ่น คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เห็นชอบมาตรการและกลไกการบริหารจัดการแล้ว โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จะเข้มงวดในเรื่องยานพาหนะเป็นหลัก ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัด ภาคเหนือ จะจัดทำพื้นที่เสี่ยงการเผาล่วงหน้า บริหารพื้นที่เกษตร ประสานกับประเทศเพื่อนบ้านก่อนเริ่มฤดูหมอกควัน รวมทั้งการบริหารจัดการใน 14 กลุ่มป่าที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า ได้แก่ กลุ่มป่าลุ่มน้ำปาย กลุ่มป่าศรีลานนา-แม่ลาว กลุ่มป่าสะเมิง กลุ่มป่าสาละวิน กลุ่มป่าตอนใต้จ.เชียงใหม่ กลุ่มป่าถ้ำผาไท กลุ่มป่าแม่ยม กลุ่มป่าเหนือเขื่อนสิริกิติ์ กลุ่มป่าเขื่อนภูมิพล กลุ่มป่าเวียงโกศัย-แม่วะ-ป่าแม่มอก กลุ่มป่าห้วยขาแข้ง-แม่วงก์ กลุ่มป่ารอบเขื่อนศรีนครินทร์ กลุ่มป่าจ.เลย กลุ่มป่า จ.ชัยภูมิ ขณะที่พื้นที่การเกษตร โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ที่พบจำนวนจุดความร้อนสูง เช่น ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อยโรงงาน ซึ่งจะมีการกำหนดมาตรการช่วงเวลาเก็บเกี่ยว ระบบชลประทาน ช่วงเวลาการเผา

น.ส.ปรีญาพร กล่าวอีกว่า เราได้ตั้งเป้าการปฏิบัติการในปี 68 โดยพื้นที่เมือง ทั้งโรงงานอุตสาหกรรม ยานพาหนะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย 100 เปอร์เซ็นต์ เข้มงวดเรื่องการตรวจควันดำ โดยเฉพาะรถของหน่วยงานข้าราชการ รถ ขสมก. ที่แม้จะบอกว่าตรวจแล้วไม่เจอควันดำ เราก็ต้องเข้มงวดในการตรวจอย่างต่อเนื่อง ในพื้นที่ป่า ใน 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง จ.กาญจนบุรี และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องลดลงร้อยละ 25 ในพื้นที่เกษตรทั่วประเทศต้องลดลงร้อยละ 10-30 และในภาพรวมทั้งประเทศของปี 68 ได้ตั้งเป้าหมายลดจุดความร้อนให้ได้ร้อยละ 30

ด้านนายศักดา กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่นในกทม.และปริมณฑล ว่า ช่วงหลังวันที่ 23 ต.ค.นี้ ประเทศไทยตอนบนจะเริ่มมีฝนที่ ลดลง และจะมีมวลอากาศเย็นแผ่เข้ามาบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้พื้นที่กทม. และปริมณฑล มีแนวโน้มที่ค่าฝุ่นละอองจะสูงขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 24-27 ต.ค.  ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวในพื้นที่จะมีสภาวะที่อากาศปิดส่งผลให้ฝุ่นละอองจากแหล่งกำเนิดไม่สามารถระบายออกจากพื้นที่ได้ ประชาชนทั่วไปและกลุ่มเสี่ยงสามารถติดตามสถานการณ์ได้จากแอปพลิเคชัน Air4Thai และแฟนเพจ ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) เพื่อรับทราบสถานการณ์ที่ถูกต้อง และนำไปใช้ประกอบการวางแผนการทำกิจกรรมกลางแจ้งได้อย่างเหมาะสม.