เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร สว. ให้สัมภาษณ์กรณี พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะจำเลยคดีตากใบของศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ได้ยื่นลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย และพ้นสภาพ สส. ว่าการลาออกเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาที่จะลาออกเพื่อหนีความผิดหรือหนีการขึ้นศาล การลาออกดังกล่าว ก็ไม่ได้ทำให้พรรคเพื่อไทยหรือพรรคไทยรักไทยในอดีต หรือรัฐบาลใดก็ตาม จะหมดภาระผูกพันในการให้ความยุติธรรมต่อประชาชนในคดีตากใบ รัฐบาลมีหน้าที่ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อนำตัวจำเลยทั้งหมดมาปรากฏต่อหน้าศาล ก่อนคดีจะหมดอายุความ
นางอังคณา กล่าวต่อไปว่า การลาออกของ พล.อ.พิศาล จะทำเมื่อไรก็ได้ แต่ว่าหน้าที่ของรัฐบาลยังอยู่ ขอความกรุณาให้รัฐบาลใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ทั้งหมด โดยยกตัวอย่างกรณีหลักการการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ที่วันนี้ประเทศไทยก็ได้ส่งไปให้หลายประเทศ หรือการออกหมายแดงโดยอินเตอร์โพล
“วันนี้ศาลยังไม่ได้บอกว่าใครผิดใครถูก แต่เป็นการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าผลการตัดสินของศาลจะเป็นอย่างไร ทุกฝ่ายก็เคารพ แต่ในวันนี้เรายังไม่เห็นความพยายามของรัฐบาลในการดำเนินการตามหลักสากล ของการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน” นางอังคณา กล่าว
นางอังคณา กล่าวว่า กรณีของ พล.อ.พิศาล ซึ่งอ้างว่าป่วย รัฐบาลก็ต้องเคารพสิทธิของผู้ป่วย แต่การนำตัวจำเลยมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รัฐบาลสามารถทำได้อยู่แล้ว ขึ้นอยู่ว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น ส่วนตัวจึงอยากให้กำลังใจรัฐบาลไทยด้วย และมองว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษและตำรวจไทยมีความสามารถมาก ในการติดตามบุคคลต่างๆ รวมถึงสามารถดักฟังโทรศัพท์ได้ แต่อยู่ที่ว่ารัฐบาลมีความจริงใจ หรือมีเจตจำนงทางการเมืองในการนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมด มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่ พร้อมย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และเป็นเรื่องที่บั่นทอนความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลไทย
“หากรัฐบาลไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย แต่พูดคำเดียวว่าไม่เกี่ยวข้อง ก็ถือว่าน่าละอายมาก เท่ากับว่ารัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบและปล่อยให้เกิดวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด” นางอังคณา กล่าว
นางอังคณา กล่าวว่าการที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ซึ่งออกมาให้สัมภาษณ์บางครั้ง ส่วนตัวมองว่าบางเรื่องไม่ต้องพูดออกมาก็น่าจะดีกว่า เพราะพูดแล้วจะเป็นเหมือนการผลักภาระ หรือปฏิเสธความรับผิดชอบ ทั้งที่ความจริงรัฐบาลสามารถทำได้อยู่แล้ว และหากในนโยบายของรัฐบาลพูดถึงหลักนิติธรรม เรื่องนี้ก็จะเป็นบทพิสูจน์หนึ่งว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องหลักนิติธรรมเพียงใด.