‘พลังงานสะอาด’ สังเกตไหมว่า คำๆ นี้ เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น อาคารก่อสร้าง บ้านเรือน รถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้กระทั่งในนโยบายของประเทศต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วต่พยายามหยิบยกเรื่องของพลังงานสะอาดเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลังงานดังกล่าวจึงกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ทั่วโลกจำเป็นต้องหันหน้าเข้าใส่ ประกอบกับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับผลกระทบจากการใช้พลังงานฟอสซิล ทำให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจด้านพลังงานสะอาดเติบโตอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ และพลังงานชีวมวล มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดของรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ธุรกิจในภาคส่วนนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ดังที่เห็นได้จาก การที่ ‘ONNEX by SCG Smart Living’ เปิดบ้านโชว์ศักยภาพความพร้อมในงานระบบโซลาร์ ส่งแผน EPC+ BUSINESS MODEL รุกตลาดโซลาร์ ตั้งเป้าสู่ความเป็นผู้นำ มุ่งตอบโจทย์ทุกกลุ่มพันธมิตรสำคัญทั้งกลุ่มธุรกิจต่างๆ และนักลงทุน พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตติดตั้งโตขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายใน 5 ปี

‘วชิระชัย คูนำวัฒนา’ Head of Living Solution Business ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิ่ง กล่าวว่า ONNEX by SCG Smart Living มุ่งเน้นในการพัฒนานวัตกรรมและบริการด้านระบบโซลาร์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2011 โดยเริ่มต้นจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้เองภายในโรงงานต่างๆ ทำให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากสุดถึง 40% ด้วยประสบการณ์ที่มีมาอย่างยาวนาน จึงมีความพร้อมที่จะตอบรับความต้องการในตลาดโซลาร์ที่มีอัตราการเติบโตสูงมากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการติดตั้งระบบโซลาร์ในปัจจุบันนั้นมีราคาที่ถูกลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้ายังคงมีราคาสูง

ด้าน‘ดุสิต ชัยรัตน์’ Smart Home Living Solution Director ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิ่ง กล่าวว่า ด้วยแนวโน้มตลาดที่เปลี่ยนไป ทั้งด้วยนโยบายจากภาครัฐและจากความต้องการของลูกค้าในการใช้พลังงานสะอาด อีกทั้งในระยะหลังมีนักลงทุนที่สนใจลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้นจากผลตอบแทนการลงทุนที่ดีและมีความผันผวนต่ำในระยะยาว ทาง ONNEX by SCG Smart Living ได้จัดให้มีบริการ EPC ทั้งด้านการออกแบบทางวิศวกรรม  การขออนุญาตโครงการ รวมถึงการติดตั้งโครงสร้างระบบแบบครบวงจรอยู่แล้ว เพื่อขยายตลาดให้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

สำหรับบริการ ‘EPC’ (Engineering Procurement and Construction) ที่ ดุสิต ได้กล่าวไปในข้างต้น ได้ดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ EPC+ Business Model ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผู้เกี่ยวข้องแต่ละกลุ่มในระบบโซลาร์ ซึ่งจะช่วยสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจให้แข็งแกร่งเพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจโซลาร์ให้สามารถตอบโจทย์ได้ ทั้งกลุ่มธุรกิจ ผู้ประกอบการ และนักลงทุน โดย EPC+ Business Model เบื้องต้น มีด้วยด้วยกัน 5 รูปแบบ ดังนี้

 1. EPC+F (Finance) เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเปลี่ยนระบบไฟฟ้าพื้นฐานมาติดตั้งระบบโซลาร์ นอกจากธุรกิจจะได้ใช้พลังงานสะอาดแล้ว  ผู้ประกอบการยังได้ประโยชน์จากส่วนลดค่าไฟสูงสุดถึง 40% ซึ่งแผน EPC+F นี้ ทางผู้ประกอบการไม่ต้องลงทุนเอง แต่ทาง ONNEX จะดำเนินการหาผู้ลงทุนให้

2. EPC+D (Project Development) เหมาะสำหรับนักลงทุน ที่เป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ สถาบัน กองทุน ที่สนใจลงทุนในโครงการโซลาร์ แต่ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีทีมงานจัดทำโครงการ หรือไม่สามารถหาโครงการที่เหมาะสมได้ ทาง ONNEX จะทำหน้าที่คัดสรรโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายการลงทุน ขนาดโครงการ ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มีผลประโยชน์สูงสุดให้กับผู้ลงทุน

3. EPC+ O&M (Operations & Maintenance) เหมาะสำหรับเจ้าของโครงการที่ติดตั้งโซลาร์ในหลายโครงการ และเริ่มมีปัญหาในการบริหารจัดการแบบองค์รวม (Centralized monitoring & maintenance) ทาง ONNEX มีบริการตั้งแต่ Efficiency Audit, การทำ Centralized Dashboard ตลอดจนการดูแลระบบให้สามารถผลิตไฟได้ตามเป้าหมาย โดยมี Performance Warranty ในกรณีที่ลูกค้าต้องการ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าไฟฟ้าที่ผลิตได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางแผนไว้

4. EPC+Alliance รูปแบบความร่วมมือกับพันธมิตร EPC ด้วยกัน โดยมีแนวคิดที่จะช่วยให้ในกลุ่มพันธมิตรสามารถมีศักยภาพในการบริหารต้นทุนที่ดีที่สุดในระบบการจัดซื้อ (Cost effectiveness)  โดยทาง ONNEX มีแผนงานเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาแผงและอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบโซลาร์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว โดย EPC+Alliance ได้เริ่มดำเนินการและเปิดรับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความสนใจร่วมกันอยู่ในขณะนี้

และ 5. EPC+Authorized Referral เหมาะสำหรับตัวแทนอิสระ ที่มีเครือข่ายลูกค้าที่มีศักยภาพในธุรกิจโซลาร์ สามารถเข้ามาเป็น Authorized Referral ได้ เพื่อร่วมธุรกิจและรับผลตอบแทนจากโครงการ

นอกจากนี้ ‘สุชาติ นอกพุดซา’ Associate Director – Solar Roof ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิ่ง กล่าวว่า ONNEX by SCG Smart Living มีประสบการณ์ในการติดตั้งระบบโซลาร์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบทุกรูปแบบ โดยที่ผ่านมา สามารถผลิตพลังงานสะอาดไปแล้วกว่า 200 เมกะวัตต์ (MWp) และยังมีโครงการที่อยู่ในระหว่างดำเนินการอีกถึง 400-600 เมกะวัตต์ (MWp) โดยพื้นที่โซลาร์ฟาร์มขนาด 47.5 ไร่ ที่จังหวัดสระบุรี ถือเป็นโซลาร์ฟาร์มต้นแบบที่นำเสนอแพลตฟอร์มการบริหารจัดการพลังงานโรงไฟฟ้าเสมือนจริง (Virtual Power Plant) ภายใต้แนวคิด ‘Smart Utilization, Smart Investment,  Smart Flexibility และ Smart Monitoring ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับรู้ปริมาณการผลิตโซลาร์และการนำพลังงานสะอาดไปใช้อย่างเหมาะสม ซึ่งถือเป็นโซลาร์ฟาร์มต้นแบบที่มีความสำคัญอย่างมากในการผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ในโรงงานต่างๆ ในพื้นที่ โดยในส่วนของอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ซึ่งทางบริษัทเคยพัฒนาได้สูงสุด อยู่ที่ IRR 34% และระยะเวลาคืนทุนภายใน 3 ปี

ปัจจุบัน การให้บริการในการติดตั้งระบบโซลาร์ของ ONNEX ซึ่งออกแบบให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้า มีด้วยกัน 4 รูปแบบ ดังนี้ 1. Solar Carport ขนาด 735 kWp นำร่อง ณ เอสซีจี บางซื่อ สำนักงานใหญ่ เกิดจากโจทย์เพื่อใช้พื้นที่ลานจอดรถขนาด 3 ไร่ ให้สร้างประโยชน์เพิ่มขึ้นด้วยการติดตั้งระบบโซลาร์เพื่อผลิตไฟฟ้าให้กับสำนักงานใหญ่ ซึ่งความท้าทายของโครงการนี้คือจำเป็นจะต้องคืนพื้นที่หน้างานให้เร็วที่สุดเพื่อให้ไม่เกิดปัญหาการก่อสร้างในพื้นที่จอดรถที่นานเกินไป  การวางแผนการติดตั้งระบบโซลาร์  จึงใช้โครงสร้างที่ออกแบบและก่อสร้างจากโรงงานเพื่อลดเวลาติดตั้งหน้างาน ที่สำคัญไม่มีปัญหาเรื่องน้ำรั่วซึมจากแผงโซลาร์ จึงคุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงทุนในระยะยาว โดยสามารถผลิตไฟฟ้าต่อปี 993,000 kWh และนำไปจ่ายไฟฟ้าให้ออฟฟิศของ SCG สำนักงานใหญ่ ทำให้ช่วยประหยัดค่าไฟได้สูงถึง 3,525,150 บาทต่อปี

2. Solar Roof ขนาด 2,000 kWp เปลี่ยนพื้นที่หลังคาให้เป็นพื้นที่สร้างพลังงานสะอาด Solar Roof Top เป็นระบบโซลาร์ที่ใช้งบลงทุนประหยัดที่สุด เนื่องจากเป็นการติดตั้งกับหลังคาที่ส่วนใหญ่จะมีโครงสร้างมาตรฐานอยู่แล้ว จึงลดงบประมาณลงทุนในส่วนโครงสร้าง และอุปกรณ์ต่างๆ และการติดตั้งระบบโซลาร์บนหลังคาก็ทำได้ง่ายกว่าการติดตั้งในระบบอื่นๆ โดยในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ของเอสซีจี มีค่าใช้จ่ายต้นทุนด้านพลังงานมากกว่าครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยสามารถผลิตไฟฟ้าต่อปี 2,700,000 kWh และนำไปจ่ายไฟฟ้าไปใช้ที่โรงงานหินกองและหนองแค ทำให้ช่วยประหยัดค่าไฟได้สูงถึง 9,585,000 บาทต่อปี

3. Solar Floating ขนาด 999 kWp ระบบโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ เป็นระบบที่แผงโซลาร์เซลล์สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่าระบบโซลาร์อื่นๆ ถึงประมาณ5-20% แม้จะมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า เนื่องจากต้องทำการติดตั้งแผงด้วยทุ่นลอยน้ำ ทว่าก็มีข้อได้เปรียบเรื่องการระบายอากาศและอุณหภูมิที่เย็นกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างพลังงานของแผงโซลาร์เพิ่มขึ้น โดยสามารถผลิตไฟฟ้าต่อปี 1,350,000 kWh และนำไปจ่ายไฟฟ้าไปใช้ในโรงงานผลิตสุขภัณฑ์สยามซานิทารีแวร์ ทำให้ช่วยประหยัดค่าไฟได้สูงถึง 4,792,500 บาทต่อปี ทั้งนี้การออกแบบระบบ Solar Floating จะมีต้นทุนการก่อสร้างทุ่นและระบบยึดโยงทุ่นที่ต้องคำนวณเผื่อระดับการขึ้น-ลงของน้ำตามหน้างานที่เหมาะสมเพิ่มเติม

และ 4. Solar Farm ขนาด 7.2 MWp Solar Farm ขนาด 7.2 MWp ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 47.5 ไร่ เปรียบเสมือนเป็น Outdoor Experimental Space หรือพื้นที่ทดสอบประสิทธิภาพของระบบโซลาร์อย่างครบวงจร ทั้งในด้านคุณภาพและประเภทของแผงโซลาร์ชนิดต่างๆ, การติดตั้งแผงโซล่าร์ในจุดที่เหมาะสม เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างพลังงานไฟฟ้า, การติดตั้งInverter Energy Storage รวมถึงเทคโนโลยีด้านต่างๆ ที่ใช้ในระบบโซลาร์ เพื่อสร้างความเข้าใจและมั่นใจจากประสบการณ์ที่สามารถสัมผัสระบบโซลาร์ได้บนพื้นที่จริง โดยโครงการโซลาร์ฟาร์มในพื้นที่ 47.5 ไร่แห่งนี้ สามารถผลิตไฟฟ้าต่อปี 9,723,600 kWh และนำไปจ่ายไฟฟ้าไปใช้ในโรงงานผลิตกระเบื้องได้ 2 โรงงาน คือ โรงงานหนองแค 1 SCG Ceramics และโรงงานหนองแค 2 Sosuco Ceramics ทำให้ช่วยประหยัดค่าไฟได้สูงถึง 34,518,780 บาทต่อปี เรียกว่าได้ประโยชน์ที่หลากหลาย ทั้งจากการลดหย่อนภาษีที่ดินจากการใช้ประโยชน์บนพื้นที่ว่างเปล่า และยังได้สิทธิประโยชน์จาก BOI ถึง 8 ปี ในการลดหย่อนภาษีจากเงินลงทุนอีกด้วย