จากกรณีข่าวที่ชาวเน็ตหลายคนให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ เมื่อ นายไกรภพ จันทร์ดี หรือ กบ ไมโคร นักร้องร็อกเกอร์รุ่นใหญ่ ออกมาแฉพฤติกรรมธุรกิจเครือข่ายแห่งหนึ่ง ที่เจ้าตัวร่วมลงทุนเพื่อหารายได้อีกทาง แต่สุดท้ายสูญเงินหลายแสนบาท อีกทั้งพบข้อเท็จจริงสุดเศร้าว่า มีผู้สูงวัยที่หลงเชื่อ ใช้เงินก้อนสุดท้ายของชีวิต มาลงทุนจนสิ้นเนื้อประดาตัว รวมถึงเจ้าตัวพยายามเรียกร้อง กลับพบข้อกฎหมายที่ทางบริษัททำไว้รัดกุม จนคิดว่าเอาผิดเขาไม่ได้ ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้

เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์ เข้าวงการแบบปลาฉลาม หลังเคยโดนบอสที่กำลังเป็นข่าวขายตรง หลอกลงทุนจนเสียเงินหลายหมื่น

เข้าวงการขายตรงได้อย่างไร?
เรื่องมันเริ่มมาจากตอนนั้น ผมกำลังหาเงินแต่งงานสร้างครอบครัว เงินเดือนราชการอย่างเดียวไม่พอแน่ๆ กับการซื้อบ้านในกรุงเทพมหานคร ตอนนั้นผมมีอาชีพเสริมเป็น โค้ชด้านการเขียนหน้าที่หลักๆ คือ เวลานักธุรกิจต่างๆ ที่อยากเขียนหนังสือวางขายทั่วประเทศ ทำคอนเทนต์ และทำสื่อโซเชียลช่องทางต่างๆ แต่เขียนไม่ได้สักที ผมก็จะเข้าไปประกบคอยซักถามและแนะนำ ไปจนถึงเขียนแทนเลยก็มี นอกจากนั้น ก็มีงานอดิเรก คือ ทำเพจแนะนำการสอบรับราชการ ที่ว่าเป็นงานอดิเรก คือ ไม่มีโปรดักขาย ไม่มีรายได้ใดๆ จากช่องทางนี้ประโยชน์ทางอ้อมๆ ที่ได้จากการทำเพจ คือ มีผลงานการเขียนเอาไว้ไปโชว์บรรดานักธุกิจที่เล็งๆ หาคนมาเป็นโค้ชงานเขียนจากงานทั้ง 3 คือ งานราชการ, งานที่ดีลกับนักธุรกิจ และงานทำเพจแนะแนว เท่ากับ ทำให้เพื่อนที่ทำธุรกิจตัวนี้อยู่ เล็งเห็นว่าเราเป็น “ปลาฉลาม”

ถ้าถามว่าปลาฉลาม คืออะไร?
วงการนี้จะต้องชวนคนเข้ามาเพื่อลงเงิน รับสินค้าไปขายต่อ และหาคนมาลงเงิน รับสินค้าไปขายต่อคนต่อไป เป็นลูกโซ่ไม่รู้จบ ทีนี้ เขาจะเปรียบเปรยคนที่ต้องไปล่า มาลงเงินเสมือนปลา ซึ่งถ้าเป็นคนที่ดูโปรไฟล์ดี มีแนวโน้มจะเข้ามาแล้ว วันรุ่งขึ้นหาเหยื่อได้เลย ผ่านไปหนึ่งเดือน หาเหยื่อได้เป็น 100 และเป็น 1,000 ไม่ต้องมาฝึกหัดนับ 1 ใหม่แบบคนทั่วไป พวกเหยื่อโปรไฟล์ดี ที่เขาเรียกกันว่า “ปลาฉลาม” โดยปกติจะเป็นบรรดานักธุรกิจที่มีทีมงานอยู่แล้ว เช่น ทำขายตรงตัวอื่นอยู่ ทำธุรกิจเครือข่ายอย่างอื่นอยู่ เป็นเจ้าของโรงงานที่มีบริวารเยอะ ฯลฯ ถ้าดูจากโปรไฟล์ผม ตอนนั้นที่น่าจะหาเหยื่อในวงการราชการได้ หาเหยื่อที่เป็นนักธุรกิจก็ได้ หรือ หาเหยื่อจากลูกเพจที่ตอนนั้น ผมมีผู้ติดตามประมาณ 30,000 คน ก็ยังได้

ดังนั้น ผมจะถูกมอบมงในตำแหน่ง “ปลาฉลาม” ไปโดยปริยายทั้งที่ตำแหน่ง และรายได้น้อยมากๆ เมื่อเทียบกับฉลามตัวอื่นๆ ฉลามทุกตัวจะได้รับเทียบเชิญ เข้าพบพญาราชสีห์แห่งวงการธุรกิจออนไลน์ ที่คฤหาสถ์แห่งหนึ่งใจกลางเมือง ต้องอธิบายว่าคนที่เข้าวงการนี้ จะใฝ่ฝันว่าสักวันจะมีโอกาสได้เข้าพบ “คุณ” จนฟีลมันเหมือนได้เข้าไปเหยียบพระราชวังของเจ้าชายในนิยาย ผมได้ทำการนัดหมายลงคิวกับเพื่อนที่จะเข้าพบ “คุณ ณ วังสิงโต ซึ่งตอนนั้น” ผมก็ยังงงว่า จะเข้าไปพบเพื่ออะไรเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกว่าลองไปคุยๆ ดูก็คงไม่เสียหาย มันไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสแบบนี้นะ

อีกทั้ง วินาทีที่ผมได้เข้าไปนั่งคุยตัวต่อตัว ในระยะห่างกันแค่ 30 เซนติเมตรก็มาถึง เมื่อเลขาฯ ของ “คุณ” บอกว่าถึงคิวผมแล้ว ผมก็เดินตัวปลิวเข้าไปคนเดียว ผ่านสายตาของคนในบ้านนับ 30 คู่ ที่มองผมเป็นตาเดียวกัน นี่แหละ คือ ดาวรุ่งคนต่อไป แสงสว่างขององค์กรเรา “ยินดีด้วย” เหยื่อคนต่อไป แต่ผมเดาจากการอ่านสายตาของหลายๆคน ที่มองผมตอนเดินเข้าไป ซึ่งในวันนั้นหลายคนที่มาเข้าพบ “คุณ” มากันเป็นกลุ่มๆ ต้องเข้าพบเป็นกลุ่มๆ แต่ผมเป็นคนที่เข้าพบคนเดียว นั่งคุยกันตัวต่อตัว ย่อมแปลกหูแปลกตาเป็นธรรมดา เมื่อนั่งคุยกันกับ “คุณ” ก็ยังมีสายตานับสิบคู่ จากนอกห้องมองเข้ามา อยากคุยใกล้ๆกับไอดอลด้านความร่ำรวยแบบ “คุณ” บ้างจังบทสนทนาของ “ฉลามน้อย” กับ “คุณ” ถูกนำเสนอผ่าน iPad โดยเริ่มจากการเปิดอัลบั้มภาพ

นอกจากนี้ “คุณ” ไปทัวร์ยุโรป ไปกินหรูอยู่สบาย ใช้ชีวิตสไตล์ลักชัวลี่ ฯลฯ สายตาผมตอนนั้นเหม่อลอย เหมือนคนที่กำลังครุ่นคิดว่า “มาทำไรตรงนี้” เชื่อว่า “คุณ” มองเห็น จึงตัดบทด้วยการเปิดภาพที่เขาไปเที่ยว พิพิธภัณฑ์ที่มีรูปปั้น แล้วเล่นมุกฮาว่า “ผมว่าฝรั่งสู้ชายไทยอย่างพวกเราไม่ได้” จังหวะเล่นมุกทำให้เกิดเสียงฮาของเราสองคน บรรยากาศการสนทนาคลายความตึงเครียดลง เกิดความไหลลื่น “คุณ” เริ่มเปิดเอาอัลบั้มภาพ ออกมารันบทสนทนาต่อภาพเหล่านั้น คือ ภาพของบรรดาชายหญิงที่ถ่ายรูปคู่รถซูเปอร์คาร์แบบยืนเรียง แต่ละคนยืนถ่ายรถคู่ใจ เป็นภาพที่ถ่ายโดยใช้โดรนบิน เสมือนเราเป็นนกอินทรีย์ที่มองลงมาจากฟากฟ้า แล้วเจอกองทัพคนรวยยืนเรียงกัน “คุณ” ก็เริ่มจิ้มสุ่มทีละคน 5 คนแรก เป็นกลุ่มวิชาชีพชั้นสูงส่งในเมืองไทย เช่น หมอ, วิศวกร, ดร. สาขาต่างๆ 3 คนถัดไป เป็นกลุ่มมนุษย์เงินเดือน และข้าราชการ

โดยทีเด็ดอยู่ที่ 2 คนสุดท้าย “เมื่อก่อนเขาเป็นแม่ค้าเข็นรถขายไส้ย่าง คนนี้ขายกล้วยทอดหน้าปากซอย ต้องคอยเก็บแผงวิ่งหนีเทศกิจ” ทุกคนที่จิ้มให้ดู คือ คนที่ร่ำรวยจากการร่วมลงทุนกับเขา โดยเฉพาะกลุ่มสุดท้าย เรียกได้ว่า ชีวิตพลิกจากทำงานหาเช้ากินค่ำกลายมาเป็นคนรวยขับรถซูเปอร์คาร์ ในชั่วข้ามคืนคุยไปจนจะหมดโควต้าเวลาของผมแล้ว “คุณ” ก็สรุปจบในทำนองว่าอยากให้เข้ามาร่วมธุรกิจ เวลาของเราก็น้อยลงไปทุกที อายุก็มากขึ้นทุกวันต้องชมว่า “คุณ” ไม่ได้พูดในเชิงการกดดันให้รีบสมัครแต่อย่างใด แค่ชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ของความสำเร็จเฉยๆ ในบรรยากาศเหมือนเพื่อนคุยกันชิลๆ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและไม่ตั้งกำแพงรังเกียจธุรกิจของเขา

หลังจากกลับมาจากวังสิงโต ผมก็เกิดความ “อยากได้แบบเขาบ้าง” ผมอยากมีรถ อยากมีบ้าน อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนดีๆ อยากให้พ่อแม่ได้เข้ารักษาโรงพยาบาลเอกชนเวลาเจ็บป่วย (ทั้งที่ยังไม่มีลูกและพ่อแม่ไม่แก่) ในใจตอนนั้น มีประโยคนึงที่บรรดาผู้คนขายตรงพูดให้ฟังเสมอวนเวียนอยู่ “คนอื่นทำได้ เราก็ทำได้” ที่ตอนนั้นผมคิดว่าเท่ ผุดมากดดันในหัวมากมายในช่วงเวลานั้น ตรงกับงานสัมมนาใหญ่ของแบรนด์นี้ ที่จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สถานที่แห่งหนึ่ง บังเอิญใกล้บ้านเราอีก แถมงานนี้เพื่อนที่ชวนไปบ้าน “คุณ” ก็ยังบอกว่าให้ผมมาคุยกับพวกเขาได้เลย ซึ่งพวกเขาเป็นระดับสูงๆ กันในแบรนด์นี้แล้ว ไม่ต้องไปฟังสัมมนา หันไปหาเพื่อนข้างๆแล้วชี้หน้ากับพูดว่า เธอทำได้แน่ๆ โทรไปหาคนที่คุณรักมากที่สุด แล้วบอกว่าพรุ่งนี้ฉันจะสร้างความเป็นไปได้ใหม่ พอผมไปถึงงานช่วงเย็นๆ ก็เดินฝ่าฝูงชนที่กำลังบูม เข้าไปพบเพื่อนผมได้เลย อารมณ์เหมือนมีช่องทาง VIP ให้เดินผ่าน แถมบรรดาตัวท็อปที่เพิ่งลงจากเวทีก็มาคุยเล่นกันกับผม ชวนไปกินข้าวเย็นกันต่ออีก

สรุป 4.4 หมื่น โอนไปเรียบร้อย สาเหตุเพราะผมเห็นความเป็นไปได้
1. การหาลูกข่าย = เกาะแก็งไปเรื่อยๆ น่าจะได้มาบ้างแหละ
2. การขายสินค้า = ของเขาดีระดับโลก เราทำเว็บ ทำเพจใหม่ขายออนไลน์ก็น่าจะได้

หลังจากที่ของมาส่งเราก็เปิดกล่องดู เป็นพวกอาหารเสริม เซรั่มทาหน้า และครีม จำนวนไม่เยอะเท่าที่ควรจะได้จากราคา 4.4 หมื่นบาท แต่ตอนนั้นเริ่มเข้าไปอบรมที่สำนักงานใหญ่ใจกลางเมือง เลยคิดว่า “ของต้องดีมากๆ แน่เลยราคาถึงแพง” ตอนอบรมที่สำนักงานใหญ่ ทีแรกเรานึกว่าเขาจะสอนเทคนิคการขาย และเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์ แต่จริงๆ คือ การอวยคุณภาพสินค้าที่ตอนนั้นมีเซรั่มที่ทำจากเทคโนโลยีขั้นสุดยอดของโลกเป็นเรือธง ไฮไลท์ของการอบรม คือ การให้ดูคลิปของเฮียคนนึงที่หน้าตา แต่พอทาเซรั่มตัวนั้นไป 30 วัน หน้าตากลายเป็นเซเลปเกาหลี แล้วเฮียเกาหลีก็ปรากฎตัวออกมา เฮียบอกว่าตัวเองไม่เคยอยากทำธุรกิจนี้ จนมาพบว่าหน้าตัวเองหล่อขึ้นมาก จึงได้มาเข้าร่วมและชวนลูกน้อง 5 คน มาร่วมด้วย

อีกทั้ง เราเชื่อที่เขาพูด เพราะ หน้าแกดีจริงๆ กลับบ้านมาเรารีบเอาเซรั่ม ทาทั่วหน้าหวังว่าครบ 30 วัน จะเห็นผลแต่แค่เพียง 7 วันก็เห็นผลแล้ว สิวหัวช้างขึ้นบนหน้า ตอนนั้นคิดในใจว่า ถ้าเราเอาไปขายเพื่อน เราจะเสียเพื่อนไหม มันจะบาปไหม ในช่วงที่กำลังลังเลนี่แหละ ที่เริ่มตีตัวออกห่างจากวงจรนี้ทั้งหมด ไม่ขายของให้ใครสักคน ทดลองใช้สินค้าล๊อตแรกจนหมด ค้นพบว่า ธรรมดา จะมีแค่วิตามินตัวนึงที่รู้สึกว่าดี แต่ด้วยความที่จ่ายเงินไปเยอะ ก็พยายามมองในแง่ดีว่า
1. เรามีเพื่อนๆ ที่ตอนนั้นมาขอให้เราช่วยเปิดคอร์สสอนเขียนคอนเทนต์ เราก็ยังได้ทำในสิ่งที่เราชอบ
2. เราหวังว่าจะได้เรียนรู้วิชาทางการตลาดออนไลน์ ที่ตอนนั้นเค้าโปรโมทเสมือนกับเป็นจุดเด่นที่สุดของธุรกิจเขา เราหวังจะเอามาต่อยอดกับธุรกิจอื่นๆ ในอนาคตของเรา

ผ่านเวลาไปสักระยะผมได้เรียนรู้ว่า
1. โมเดลธุรกิจไม่มีอะไรเลย นอกจากหาเหยื่อมาลงทุน
2. สินค้าไม่ได้เป็นที่ต้องการของตลาด เน้นให้ตัวแทนซื้อมาเอายอดเอาตำแหน่ง ขนาดตัวแทนขายหั่นราคาแบบเกินครึ่งในแอปพลิเคชั่นก็ขายไม่ออก
3. เครื่องมือและวิชาการตลาด ไม่มีเลย ก็แค่จัดสัมมนาสอนรวยในพื้นที่ต่างๆ ตัวแทนช่วยกันยิงแอดรัว พอคนไปงานสัมมนาก็จะมีทีมโค้ชภาคพื้นดินคอยประกบ โน้มน้าวในงานให้เปิดบิล ก่อนส่งต่อให้ตัวแทนต่างๆ พาไปเทรน พาไปสัมมนาย่อย สัมมนาย่อยในย่อย ฯลฯ
4. บอกว่าหล่อขึ้น เขาไปทำศัลยกรรมมา (สมัยนั้นผมไม่รู้จักว่าโลกนี้มีโบท็อก เมโส ไฮฟู่ ) ไม่รู้จักอะไรทั้งนั้น
5. “คุณ” เจ้าของแบรนด์ ก็ศัลยกรรมมาทั้งหน้า แล้วบอกว่ากินผลิตภัณฑ์ตัวเองเลยหล่อขึ้น ยิ่งนานวันไป หน้าของ “คุณ” ก็ยิ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถึงจุดนี้ ผมตัดใจทิ้งเงิน 4.4 หมื่นไปเรียบร้อยแล้ว และไม่ขอข้องเกี่ยวใดๆ กับวงการนี้อีก สิ่งหนึ่งที่ดีใจ คือ ไม่เคยชักชวนใครให้เข้ามาทำเลย

หลังจากนั้นสักระยะ ก็มีข้อความเด้งในไลน์กลุ่มขายตรง ที่ผมลืมนำตัวเองออกมา มีแต่ข้อความด่า “คุณ” โดยคนที่ครั้งนึงเคยยกยอ “คุณ” เสมือนเทพ หลายคนคือ ชื่นชมยินดีแทนผมที่มีโอกาสเข้าพบคุณแบบส่วนตัว วันนี้ด่า “คุณ” รัวๆ ผมตามจนรู้ว่า “คุณ” ทิ้งไปเปิดแบรนด์ใหม่ ถ้าถามว่าผมโกรธเพื่อนผมไหม ที่ชวนไปร่วมธุรกิจตอบตรงนี้ว่า “ไม่เคยโกรธ” เพื่อนผมเชื่อว่ามันคุ้มค่าจริงๆ เป็นไปได้จริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังติดตามและส่งกำลังใจเชียร์พวกเขาตลอด ถ้าถามว่า โกรธ “คุณ” ไหมตอบว่า “ไม่โกรธ” ในเคสของผม ผมไม่ได้โดนหลอก แต่คนที่ควรจะบอกข้อมูลทั้งหมด กลับไม่ยอมบอกให้หมด แล้วปล่อยให้กลไกธุรกิจที่เขา set ระบบไว้ บอกความจริงกับผมแทนว่า วงจรนี้มีแต่เขาเท่านั้นที่มีแต่ได้กับได้

อย่างไรก็ตาม บทเรียนที่จะเก็บไว้สอนลูกสาว มีดังนี้
1. ถ้าธุรกิจไหนได้กำไรระดับพันล้าน ให้ดูว่าเขาขายสินค้าอะไร
2. ถ้าสินค้านั้นๆ เราแทบไม่ได้เห็นคนรอบตัวเราใช้ แสดงว่าธุรกิจนั้นเป็น สีเทา/สีดำ ดึงคนเข้ามาเป็นเหยื่อ แล้วให้เหยื่อคนก่อนหาเหยื่อคนใหม่ไปเรื่อยๆ
3. ถ้ารู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อ “ให้หยุด” อย่าหาเหยื่อรายต่อไป เก็บความผิดพลาด เพื่อเป็นบทเรียนให้กับคนรุ่นหลัง แบบที่พ่อรอคอยมานานถึง 7 ปี

ขอบคุณข้อมูล : ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง