“ความงามคือพลัง” คำกล่าวนี้คงเป็นที่คุ้นเคยกันดี เพราะในยุคที่ภาพลักษณ์มีความสำคัญมากขึ้น การดูแลตัวเองให้ดูดีจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของหลายๆ คน ‘ธุรกิจความงาม’ จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การค้าขายผลิตภัณฑ์ ทว่ายังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของเราอย่างลึกซึ้ง

ตั้งแต่ตื่นนอนในตอนเช้าจนถึงก่อนเข้านอน เรามีปฏิสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ความงามมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ครีมบำรุงผิว เครื่องสำอาง สบู่ แชมพู หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายอื่น ๆ ธุรกิจบิวตี้ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นใจ เพิ่มเสน่ห์ และตอบสนองความต้องการในการดูแลตัวเองของผู้คนในทุกเพศทุกวัย

นอกจากบทบาทในการสร้างภาพลักษณ์และความมั่นใจแล้ว เบื้องหลังของธุรกิจความงามยังมีอีกบทบาทหนึ่งที่ซ่อนอยู่ นั่นคือ การดูแลกระบวนการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เนื่องจากปัจจุบัน เราต่างอยู่ในโลกที่ผู้คนตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การบริโภคอย่างรับผิดชอบจึงกลายเป็นเทรนด์หลักที่ส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม รวมถึงวงการความงาม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก แต่ทว่าก็สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกจำนวนมาก การใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย และการผลิตที่สิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติ

ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ธุรกิจดังกล่าวจึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต การเลือกใช้วัตถุดิบ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการขยะ ตลอดจนการขยายแนวทางการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่อุปทาน

ดังที่ ‘บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย’ ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวระดับโลกอย่าง ‘นีเวีย’ และ ‘ยูเซอริน’ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นดังกล่าว จึงประกาศตอกย้ำเป้าหมายในการนำธุรกิจสู่การเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน ด้วยการปรับฐานการผลิตในประเทศไทยสู่การใช้พลังงานทดแทนจากโซลาร์ฟาร์มเป็นครั้งแรก ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความยั่งยืนแบบบูรณาการตลอดห่วงโซ่คุณค่า ทั้งผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสังคม พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 90% ภายในปี 2045

“ที่ไบเออร์สด๊อรฟ เราให้ความสำคัญเรื่องของการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ตามวัตถุประสงค์การมีอยู่ของแบรนด์ นั่นคือ Care Beyond Skin หรือ C.A.R.E.+ ที่ให้คุณค่าเหนือกว่าการส่งมอบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ ไบเออร์สด๊อร์ฟทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนนี้มาอย่างต่อเนื่องว่าเรามุ่งมั่นและจริงจังในการผลักดันเรื่องความยั่งยืนเข้าในฟันเฟืองต่างๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของเรา ซึ่งตอนนี้ยิ่งให้ความเข้มข้นขึ้นเพื่อสอดรับกับกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อความยั่งยืนล่าสุดของเราอย่าง “Win with Care” ที่จะเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่าให้กับผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสังคม ผ่านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณของเรา ที่ไม่เพียงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อคุณภาพที่ดีและตอบโจทย์ผู้ใช้ แต่เรายังให้คุณค่ากับทุกๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่วัตถุดิบ แหล่งที่มา คนมากมายที่อยู่ในกระบวนการผลิตและธุรกิจ และการดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาล และมีความโปร่งใส  จะเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ไบเออร์สด๊อรฟไปถึงเป้าหมายการเป็นธุรกิจบิวตี้เพื่อความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง” ‘วราพร ลิขิตจรรยากุล’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย กล่าว

สำหรับกลยุทธ์  C.A.R.E.+ (Care Beyond Skin) เป็นกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนที่ไบเออร์สด๊อรฟนำมาใช้ เพื่อยกระดับธุรกิจให้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียงผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ไปสู่การเป็นองค์กรที่ใส่ใจในทุกมิติ ทั้งผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายหลักคือการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลก โดยตีความหมายแต่ละตัวอักษร ดังนี้

Consumer: มุ่งเน้นการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และสร้างประสบการณ์ที่ดี

Atmosphere: มุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรักษาสภาพอากาศให้ดีขึ้น

Resources: เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

Ecology: ส่งเสริมการใช้ผืนดินและน้ำอย่างเหมาะสม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

+ Social: พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในชุมชน และส่งเสริมความเท่าเทียม

นอกจากนี้ ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของทวีปเอเชีย ได้มีการเดินหน้าปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สอดรับกับกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน โดยนอกเหนือจากการกำจัดและบำบัดของเสียจากกระบวนการผลิตที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดทางโรงงานได้เปิดใช้โรงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสีเขียว 100% บนพื้นที่กว่า 5,610 ตารางเมตร (14 ไร่) ด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ 999 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) รวมถึงการเดินหน้าต่ออย่างไม่หยุดยั้งกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สีเขียวที่เลือกใช้พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่วนผสมที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์นีเวียที่ปลอดไมโครพลาสติก 100% นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 และผลิตภัณฑ์กันแดดที่ไม่มีสารที่ทำร้ายปะการัง เป็นต้น ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไบเออร์สด๊อรฟไม่เพียงแค่จะบรรลุเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานลง 30% ภายในปี พ.ศ. 2568 และเดินหน้ามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี พ.ศ. 2573 เท่านั้น แต่ยังพร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายต่อไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 90% ภายในปี 2045

“สําหรับเรา การจะเดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระยะยาวนั้น จะต้องทำงานร่วมกันกับพันธมิตรที่มีเป้าหมายเดียวกันอย่างเครือข่ายซัพพลายเออร์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ของเราด้วยเช่นกัน เราสามารถทําให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีความยั่งยืนมากขึ้นโดยการเลือกใช้วัตถุดิบและขั้นตอนการผลิตที่มีความเกี่ยวข้องกับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ให้น้อยลง เช่น การใช้เส้นทางการจัดส่งที่ใกล้ขึ้นหรือสั้นลง นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลแทนพลาสติกใหม่ (Virgin plastic) ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยลดการปล่อยมลพิษทั้งสิ้น ล่าสุดเราเพิ่งเปิดโซลาร์ฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับโรงงานของไบเออร์สด๊อรฟทั่วโลก ซึ่งเราสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้เองได้มากถึง 25% โดยเป็นพลังงานจากโซลาร์ฟาร์ม 10% นั่นทำให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้มากถึง 800 ตันต่อปี เทียบเท่ากับการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยต้นไม้ถึง 50,000 ต้น นอกจากนี้ เรายังมีการรณรงค์ส่งเสริมให้ความรู้แก่พนักงานในโรงงานของเรา รวมถึงปลูกฝังจิตสำนึกในการเป็นธุรกิจเพื่อความยั่งยืนอีกด้วย” ‘สุเรขา วันเพ็ญ’ ผู้อํานวยการศูนย์การผลิต บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย กล่าวเสริม

สำหรับในเรื่องของความยั่งยืน นอกเหนือจากเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว ไบเออร์สด๊อรฟยังให้ความสำคัญในการบริหารจัดการองค์กรโดยให้ความสำคัญและส่งเสริมความเท่าเทียมและยอมรับความแตกต่างในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันนโยบายส่งเสริมพนักงานระดับผู้บริหารแบ่งตามเพศในสัดส่วน 50:50 ที่ทำสำเร็จได้ในปี พ.ศ. 2566 หรือการทำกิจกรรมเพื่อชุมชนท้องถิ่นอย่าง Care Beyond Skin Day ที่พนักงานไบเออร์สด๊อรฟ ทั่วโลก ได้ใช้เวลางานหนึ่งวันเต็มทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่สังคม หรือด้านพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะด้านการศึกษาและการสาธารณสุข อาทิ โครงการปรับปรุงห้องสมุดโรงเรียนที่ยากไร้ในประเทศไทย การบริจาคสิ่งของจำเป็นทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณแก่องค์กรสาธารณกุศล เป็นต้น

นับเป็นเวลากว่า 13 ปีแล้ว ที่ ไบเออร์สด๊อรฟ ได้จัดทำโครงการและกิจกรรม CSR แบบบูรณาการมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การใช้พลังงานทดแทน บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาคุณภาพและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและผืนป่าในแหล่งวัตถุดิบ  โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการศึกษาให้กับสตรีและเยาวชนในชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งวัตถุดิบและการผลิตทั่วโลก เป็นต้น โดยต่อจากนี้ไบเออร์สด๊อรฟ จะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างโครงการใหม่ ๆ ที่จะสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีและยั่งยืนต่อไป

อนึ่ง ไบเออร์สด๊อรฟ เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศเยอรมนี โดย พอล ไบเออร์สด๊อรฟ ได้คิดค้นพลาสเตอร์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2425 และ ในปี พ.ศ. 2433 ที่ ดร. ออสการ์ โทรโพลวิตซ์ ได้เข้ามาเป็นผู้สร้างและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมจนถึงทุกปัจจุบัน ก่อนที่จะก่อตั้งบริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2515 และตั้งโรงงานผลิตขึ้นในปี พ.ศ. 2530 นับจากนั้นมาบริษัทได้พัฒนาจนกลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของไบเออร์สด๊อรฟในทวีปเอเชีย ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงการดำเนินงานเพื่อรองรับเป้าหมายด้านความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน