ในที่สุดก็มีคำเฉลย หลังมีข่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “นายเนวิน ชิดชอบ” ประธานบริหารสโมสรฟุตบอล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้เข้าไปพบกับ “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าจริงหรือไม่

โดย “นายอนุทิน” ออกมายอมรับถึงกรณีมีกระแสข่าวเข้าพบนายทักษิณ พร้อมกับนายเนวินว่า “ผมก็ไปทานข้าวเย็นที่บ้านอดีตนายกฯทักษิณ ซึ่งไปประจำอยู่แล้ว เป็นคนชวนนายเนวินไปเอง ไม่ต้องถามอะไรต่อ เพราะการกินข้าวเป็นเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องภายใน เบิร์ธเดย์บอย” เมื่อถามต่อว่า นายทักษิณอวยพรวันเกิดอะไรให้นายเนวินหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ท่านใจดีให้เสื้อแจ๊กเกตหนึ่งตัว ตนยังไม่ได้เลย

เมื่อถามอีกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายเนวินกับนายทักษิณกลับมาชื่นมื่นแล้วใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “ไม่ได้โกรธอะไรกันเลย  เรื่องที่บอกว่าโกรธ มันจบแล้วครับนาย ใครก็ไม่รู้ไปพูด อยู่มาตั้ง 10 กว่าปีไม่เคยได้ยินคำนี้ ไกลเกินไป กล้าพูดหรือถามจริง กับคนที่เป็นเจ้านายเรา มันจบแล้วครับนายมันไม่มีหรอก”

เมื่อถามย้ำว่าบรรยากาศวันที่กินข้าวแฮปปี้กันหมดใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “ถ้าไม่แฮปปี้ไม่มั่นใจก็คงไม่ชวน เพราะคนที่ชวนคือผม” ส่วนมีการพูดคุยกันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) หรือไม่นั้น คุยได้อย่างไร คนแก้ไขคือพวกตนนั่งอยู่ใน ครม. ต้องคุยกับนายกฯ คุยกับสภา เมื่อถามถึงกรณีมีการจับตาว่าอาจจะมีนายกฯ คนละครึ่งกับทางพรรค พท. นายอนุทิน กล่าวว่า คนละครึ่ง หมดไปตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตนตั้งใจทำงานรับใช้สนองงานนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ให้ดีที่สุด ซึ่งนายกฯ เรียกว่าอาทุกคำจนถึงเดี๋ยวนี้  จนต้องไปขอให้อย่าเรียกว่าอาหนู มันไม่ได้แล้ว  ซึ่งเดี๋ยวนี้นายกฯ เรียกตนว่าท่านรองฯ อนุทิน เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่ากระแสข่าวเป็นนายกฯ คนละครึ่งไม่จริงใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ใช่ไม่จริง ไม่ได้เลย นี่มันรัฐบาลนะ ไม่ใช่การหุ้นกันแล้วแบ่งกันคนละครึ่ง วันนี้ตนและพรรค ภท.ตั้งใจเต็มที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลชุดนี้สร้างประโยชน์ให้ยาวที่สุดให้กับบ้านเมืองและประชาชน 

ก่อนหน้านี้บรรดาคนที่ติดตามการเมือง ต่างก็ออกมาวิเคราะห์ถึงการพบกันในครั้งนี้ว่า มีนัยทางการเมืองหรือไม่ เพราะ พรรค ภท. ถือว่าเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีเสียงอันดับ 2 คือ 71 เสียง มีอำนาจต่อรองสูง อีกทั้งในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ก็ถูกระบุว่า สว.มีความใกล้ชิดกับพรรค ภท. ยึดครองสภาสูง จนกลายเป็น “สว.สีน้ำเงิน” เกือบ 170 คน ซึ่งอำนาจของ สว.คือ ทั้งให้ความเห็นชอบในการแก้ไข รธน. สรรหาบุคคลที่ทำงานในองค์กรอิสระ อย่างคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และตุลาการศาล รธน. เป็นต้น ซึ่งมีอำนาจในการชี้อนาคตทางการเมืองของบุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญในฝ่ายบริหาร

ต้องรอดูการฟื้นความสัมพันธ์ของ “นายทักษิณ” และ “นายเนวิน” จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไรบ้าง เพราะในการเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้ง “เพื่อไทย (พท.)” และ “ภท.” ก็มีเป้าหมายได้สส.มากที่สุด โดยคู่แข่งสำคัญคงหนีไม่พ้น “พรรคประชาชน (ปชน.)” ซึ่งมีเป้าหมายได้ สส. 270 เสียง เพื่อกลับมาเป็นแกนนำรัฐบาลให้ได้ ซึ่งคงต้องต่อสู้พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ที่ต้องจับมือกัน เพื่อกลับมาเป็นแกนนำรัฐบาล

ส่วนประเด็นการตามตัว “พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี” อดีตแม่ทัพภาค 4 ที่ปัจจุบันเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. หนึ่งในผู้ต้องหาในคดีสลายการชุมนุม บริเวณหน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่ง “พล.อ.พิศาล” ได้ยื่นลาป่วยต่อสภา เพื่อไปรักษาตัวต่างประเทศ ตั้งแต่ 26 ส.ค. ถึง 30 ต.ค. 67 โดยมี “นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” รองประธานสภา คนที่ 1 เป็นผู้อนุมัติ ซึ่งหมายความว่า คดีจะหมดอายุความทันที เพราะเลยวันที่ 25 ต.ค. ซึ่งก่อนหน้านั้นท่าทีของพรรคต้นสังกัดก็ไม่ได้กระตือรือร้นในการติดตามตัวอดีตแม่ทัพภาค 4

ขณะที่ “นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธาน สส. พรรค พท. ให้ความเห็นถึงกระแสสังคมเรียกร้องให้ทางพรรคตามตัว พล.อ.พิศาล หลังศาลออกหมายจับ ในคดีตากใบ ว่า เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เราเป็นผู้แทนราษฎรไม่สามารถไปติดตามใครได้เพราะเหนืออำนาจของเรา ตอนนี้เป็นเรื่องอำนาจของศาลที่จะออกหมายเรียก หมายจับเราเองก็ไม่ทราบว่าท่านไปอยู่ที่ไหนบ้าง สุดแล้วแต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะต้องไปติดตาม

ส่วนจะกระทบต่อคะแนนเสียง หรือภาพลักษณ์ของพรรคหรือไม่นั้น นายวิสุทธิ์ ระบุว่า ไม่เกี่ยวกันเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ใช่เรื่องนโยบายพรรค ใครคนใดคนหนึ่งทำผิดไปพรรคไม่ได้รับผิดชอบ ก็แล้วแต่จะคิดกันไป

“เรื่องอื่นๆ ที่น่าติดตามมีเยอะแยะ โคลนเต็มเชียงรายเดือดร้อนกันหนัก เชียงใหม่ก็เดือดร้อนหนัก เรื่องพวกนี้น่าสนใจมากกว่า” นายวิสุทธิ์กล่าว

ท่าที “นายวิสุทธิ์” ก็ไม่แตกต่างจากแกนนำพรรค พท. ที่โยนเรื่องของ “พล.อ.พิศาล” เป็นเรื่องเฉพาะตัวไม่เกี่ยวข้องกับพรรค พท. ซึ่งทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบ ในฐานะที่เป็นพรรคต้นสังกัด อีกทั้งคดีนี้ก็เกิดในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 47 และยืดเยื้อมาถึงรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร

ด้าน “นายรังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงการจัดการคดีตากใบของรัฐบาล ว่า  นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีเวลามากมาย ที่จะเข้าไปแก้ปัญหาเรื่องนี้ จึงเป็นคำถามที่คาใจของสังคมว่า รัฐบาลตั้งแต่พรรคไทยรักไทย (ทรท.) ไม่เคยให้ความสำคัญกับคนในพื้นที่ กับรัฐบาลพรรค พท.ที่นำโดยจากเดิมที่เป็นพ่อ วันนี้เป็นลูกสาว คิดว่ามีความจำเป็น ถ้าต้องการดับไฟใต้ต้องคลี่คลายปมนี้ เราพยายามพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา พูดเพื่อแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึกของคนที่เขารู้สึก แต่สิ่งที่ได้รับคือ ไม่ได้รับคำตอบให้กับสังคมเลย การตอบของรัฐมนตรีอย่างมีวุฒิภาวะที่ดีที่สุด คือการตอบแบบมีเนื้อหาสาระ ปัญหาคือนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นบุคคลที่ไม่มีวุฒิภาวะในการที่จะเป็นรองนายกฯ และดูแลความมั่นคง ไม่น่าเชื่อว่าจะเคยผ่านเหตุการณ์ที่รุนแรงมาก่อน แล้วปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายไป

ต้องรอดูว่าจะมีใครไปร้องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบในคดีตากใบหรือไม่ เพราะผู้ต้องหาส่วนใหญ่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งจะสามารถสอบสวนได้หรือไม่ เพราะคดีไม่มีอายุความ หรือพรรค พท.จะขับ “พล.อ.พิศาล” พ้นการเป็นสมาชิกพรรค

เดินเกมนิติสงครามอย่างเต็มรูปแบบ สำหรับความเคลื่อนไหวพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ภายใต้การนำของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรค ล่าสุดก็ออกมาเขย่าขวัญรัฐบาล หลังก่อนหน้านี้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับสัญญาณบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 10 ต.ค.

โดย “นายไพบูลย์ นิติตะวัน” เลขาธิการพรรค พปชร.  แถลงว่าตามที่ได้เรียนว่าวันที่ 10 ต.ค.นี้ จะรู้แน่ และตอนนี้ได้รับการยืนยันว่าวันที่ 10 ต.ค.รู้แน่นอน ขณะนี้เหลือเวลาอีก 2 วัน น่าจะไม่ถึง 48 ชั่วโมง จะมีการดำเนินการจากจุดเริ่มต้น และนำไปสู่จุดจบทำให้แกนนำรัฐบาลพรรคหนึ่ง อาจถึงขั้นล่มสลายได้ ส่วนจะเป็นเรื่องใด   เกี่ยวกับอะไร ที่ไหน จะแจ้งให้สื่อมวลชนรับทราบในเวลา 07.00 น. วันที่ 10 ต.ค. ผู้สื่อข่าวถามว่า จุดที่จะนำไปสู่การล่มสลายจากคนของพรรค พปชร.ไปยื่นร้องเกี่ยวกับข้อกฎหมายหรือไม่ นายไพบูลย์ เดินหันหลังหนี โดยไม่ตอบคำถามดังกล่าว 

ต้องรอดูว่า เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับอะไร จะเกี่ยวข้องคลิปบ้านจันทร์ส่องหล้าหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้คงประมาทไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาเวลาพรรค พท. เป็นแกนนำรัฐบาล มักจะมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายและกระทำผิดเกี่ยวกับเรื่อง รธน.มาโดยตลอด

ส่วน “นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” สมาชิกพรรค พปชร.ยังเดินหน้ายื่นเรื่องให้ตรวจสอบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์อีเอ็มเอส  เพื่อขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รีบทำการตรวจสอบตามหน้าที่และอำนาจว่า การแต่งตั้งนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ตามคำสั่งสำนักนายกฯ ที่ 319/2567 ลงวันที่ 16 ก.ย. 2567 และการแต่งตั้งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ตามคำสั่งสำนักนายกฯ ที่ 348/2567 ลงวันที่ 4 ต.ค. 2567 นั้น

จะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม รธน. มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ ซึ่งบุคคลทั้งสองเคยต้องคำพิพากษาศาลฎีกาให้ลงโทษจำคุกมาแล้ว หาก กกต. ตรวจสอบแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องมีมูล ขอให้ กกต. รีบส่งเรื่องไปยังศาล รธน.เพื่อวินิจฉัยโดยเร็ว ตามความในมาตรา 170 วรรคสาม พร้อมทั้งมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาล รธน.จะมีคำวินิจฉัย ตามความในมาตรา 82 วรรคสอง ด้วย

ก่อนหน้านี้ “นายเศรษฐา ทวีสิน” ตัวแทนจากพรรค พท. ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ เพราะแต่งตั้ง “นายพิชิต ชื่นบาน” เป็นรมต. ประจำสำนักนายกฯ เพราะมีปัญหาเรื่องจริยธรรม

“ทีมข่าวการเมือง”