จากกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ คำสอนของ อ.เบียร์ ตื่นรู้ ที่รายการโหนกระแส เชิญมาพูดคุยในประเด็น ผู้เสียหายอ้างว่าถูกขโมยดวง ซึ่งอ.เบียร์ก็ได้ตอบไปในมุมมองของตัวเอง แต่กลับปรากฏว่ามีคำพูดหลายอย่างที่ไปกระทบกระเทือนเหล่าหมอดูชื่อดังในโลกออนไลน์ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับคำพูดและแนวคิดของอาจารย์ที่มองว่าเป็นคนที่ฉกฉวยผลประโยชน์ ทำให้ศาสตร์ของการดูดวงเสียหาย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ในรายการโหนกระแสได้เชิญ อาจารย์ควีนมหาเลียบ และ อาจารย์โจ ดูแล้วใช่เลย นักพยากรณ์โหราศาสตร์และเจ้าพิธีกรรมชื่อดังมาพูดคุยในรายการ โดยอาจารย์ควีน แนะนำตัวว่า ตนรับดูดวงตามช่องต่าง ๆ หลังจากศึกษามากว่า 25 ปี ได้ร่ำเรียนวิชาโหรศาสตร์ไทยและไพ่ทาโร่ ซึ่งสิ่งที่เรียนมาไม่มีการอ้างเองคิดเอง เวลาดูดวงให้จะมี 2 แบบคือแบบที่ดูฟรี (อาจจะบริจาคได้เอาไปทำบุญ) หรือ ดูไลฟ์แบบดูฟรี กับอีกแบบคือ ดูดวงแบบส่วนตัว ซึ่งก็ต้องนัดวันเวลา ต้องคิดค่าวิชาชีพ

ขณะที่ อาจารย์โจ แนะนำตัวว่า เป็นนักโหราศาสตร์ ร่ำเรียนมากว่า 12 ปี ทำพิธีกรรมต่าง ๆได้ทุกอย่าง ทั้งยกเสาเอก ศาลพระภูมิ พิธีกรรมโบราณต่าง ๆ พิธีที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหม์ฮินดู วิชาต่าง ๆ ล้วนร่ำเรียนมาจากอาจารย์โหราศาตร์ ไม่ได้จู่ ๆ ก็แอบอ้างขึ้นมาแต่อย่างใด การจะเรียนดูดวงต้อมีครูบาอาจารย์ก่อน ไม่ใช่ใครจะดูก็ดูได้ แล้ววิชาที่เรียนก็แตกต่างกัน อ.ควีน ดูไพ่ อันนี้คือ “หมอดู” แต่โหราศาสตร์ก็จะเป็นอีกวิชา แยกย่อยมากมายออกไปอีก เรียนรู้แล้วสอนได้ก็เป็นโหราจารย์ เรียนแล้วทำพิธีกรรมได้ก็ไปเป็นเจ้าพิธี

ด้าน อ.ควีน กล่าวว่า การออกมาแฉว่ามี “หมอดู” หลอกลวงคนหรือเป็นมิจฉาชีพ อันนี้เห็นด้วย หรือว่าธรรมะที่สอนก็ดี แต่เพราะโลกมีหลายมุมหลายด้าน “หมอดู” ที่เขาร่ำเรียนวิชามาจริงๆ ไม่ใช่มาหลอกลวงเอาเงินก็มี การคิดค่าดูไม่ใช่หลอกลวงเงินแต่เป็นค่าเวลาของเขา ในส่วนของพุธทศาสนิกชน หรือ พุทธแท้ ไม่ควรดูหมออันนี้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้นับถือพุทธ แล้วต้องกลายเป็นคนโง่ ซึ่งตนไม่ชอบคำว่าโง่ การนับถืออย่างอื่นไม่ได้โง่ ทุกคนมีวิจารณญาณของตนเอง คุณมีสิทธิ์คิดทำเลือกที่จะเชื่ออะไร ไม่เชื่ออะไร โดยวิจารณญาณของคุณเอง ถ้าคุณทำสิ่งนั้นแล้วไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

ด้านอ.เบียร์ กล่าวว่า สิ่งที่พูดไปเป็นไปตามคำสอนหลังพุทธเจ้าคือ ไม่ได้เชื่อใน “หมอดู” และพระองค์ท่านปฏิเสธไม่ให้เราไปยึดมั่นถือมั่นกับเหตุปัจจัยเหล่านี้ ท่านปฏิเสธเรื่อง ดูดวง พิธีกรรม เพราะท่านบอกว่ากรรมหรือสุขทุกข์ ไม่สามารถมีใครบันดาลได้ และไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากเหตุและปัจจัย นั่นหมายความว่า มันมีเหตุและผล ประเด็นก็คือว่า เกิดจากการกระทำทางกาย คำพูดทางวาจา และความรู้สึกนึกคิดทางใจ เป็นเหตุและผลของปัจจุบันขณะ เพราะฉะนั้นถ้า การกระทำของมันไม่ดี ก็ย่อมส่งผลของมันไม่ดีด้วย ถ้าเราก็ทำดีผลก็ย่อมได้รับการกระทำดีด้วย ดังนั้นท่านจึงปฏิเสธเรื่องดวงชะตาราศี

ส่วนเรื่องที่ตนเคยเป็นหมอดู เจตนาของ “หมอดู” คือต้องการให้คนอื่นพ้นทุกข์ ปราศจากความเศร้าหมองของชีวิต แต่เพราะมีเรื่องการหารายได้เข้ามาเกี่ยว ปัญหาก็คือมีการโลภเพ่งเล็งจะได้ทรัพย์ของคนอื่น จะบอกว่าไม่โลภเลยเป็นไปไม่ได้ กิเลสตันหาของมนุษย์ต้องมีพื้นที่ฐานของการอยากได้ อยากมี อยากเป็น เมื่อพยากรณ์ไปแล้วด้วยความแม่นยำก็ทำให้คนที่เป็นทุกข์เลื่อมใส และเมื่อบอกไปว่าจะต้องมีการประกอบพิธีกรรม ก็จะยิ่งเชื่อว่าคน ๆ นี้แก้ไขความทุกข์ได้แน่ ๆ มุมมองของคนมาดูดวง คือ หมอดู คือที่พึ่งของเขาได้ พอเขาแนะนำอะไร เขาก็จะทำตาม

ปัญหาคือ “หมอดู” รู้หรือไม่ว่า คน ๆ นี้มีทรัพย์มากหรือน้อย แต่คำถามคือ ถ้าดวงเขาไม่ดีก็ต้องแก้ ถ้าไม่แก้จะมาหาทำไม วิธีการแก้ก็คือ ทำพิธี ซื้อของไปบูชา เอาไปสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา แล้วที่มาปรึกษาเรื่องหนี้สิน แทนที่จะสอนเขาว่าเอาเงินไปใช้หนี้ใช้สิน กลับกลายเป็นทำพิธีอย่างนี้นะ เพิ่มตรงนี้นะ จ่ายเงินจ่ายทองตรงนี้ ถ้าจะบอกว่า อาจารย์สอนแบบนี้แล้วเป็นมิจฉาชีพ อาจารย์ก็เป็นมิจฉาชีพเหมือนกัน เพราะหลักเกณฑ์เดียวกัน

เพราะฉะนั้นแล้วเจตนาของ “หมอดู” คือ อยากให้คนอื่นพ้นทุกข์ แต่ก็ยังไม่พ้นเรื่องทำให้เสียเงิน ไม่พ้นเรื่องทำให้จ่ายทรัพย์เพื่อให้คน ๆ นั้นดีขึ้นตามตำรา เช่น การตั้งศาสพระภูมิ บ้านแต่ละหลังก็ไม่เหมือนกัน รายจ่ายก็ไม่เหมือนกัน ปัญหาจึงมาจากความเห็นผิดของคนที่มาดู ดังนั้น วันนั้นอาจารย์จึงโทษคนที่มาดูว่า เขา”ปัญญาน้อย” เกิดจากเขาไม่ได้ยินได้ฟังตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่บอกว่า โง่มาก เชื่อมาก โง่น้อย เชื่อน้อย ขาดหลักเกณฑ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งทำให้เขาความรู้น้อย

พุทธเจ้าบอกว่า มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์ แต่กลับไปหาที่พึ่งผิด ไปพึ่งพิธีกรรมเบิกแว่นเวียนเทียน ทั้งที่ควรจะพึ่งคำสอนพุทธเจ้า และพึ่งการกระทำด้วยกายวาจาใจในทางสุจริต ดังนั้นถ้าหากไปพึ่งหมอดู ก็จะไปเชื่อ “หมอดู” ในทางศาสตร์ของ “หมอดู” ที่เรียกว่า ศาสตร์ของสมณพราหมณ์เหล่าอื่น แต่หากใครที่มาศึกษาตามหลักคำสอนของพุทธเจ้า เขาจะแก้ไขตามหลักกายวาจาใจของเขาเอง อาจารย์เคยเป็น “หมอดู” ทำให้คนพ้นทุกข์ แต่สุดท้ายก็เข้าใจว่าควรที่จะกลับมาศึกษาในคำสอนของพระพุทธเจ้าดีกว่า

ทั้งนี้ ในช่วงกลางของรายการมีการถกเถียงกันในประเด็นเกี่ยวกับพิธีกรรมต่าง ๆ ตลอดจนวิชาโหราศาสตร์ด้านต่าง ๆ โดยยืนยันว่าวิชาต่าง ๆ ล้วนเป็นศาสตร์วิชาที่ต้องร่ำเรียนให้รู้จริง ไม่ใช่มาหลอกเอาเงินแต่อย่างใด ขณะที่ อ.เบียร์ ยังคงกล่าวถึงประเด็นพิธีกรรมซึ่งสุดท้ายแล้วก็เลี่ยงที่จะใช้ปัจจัยหรือเงินทองไม่ได้ ทำให้มีช่วงหนึ่งที่ “อ.ควีน” โต้กลับ “อ.เบียร์” ว่า

“…คุณมีสิทธิ์ที่จะเชื่อในสิ่งอื่นได้ ตัวคุณก็งมงายเหมือนกัน คุณบอกพระพุทธเจ้าพูดถูกหมดจริงหมดใช่หมด เอาจริงบางอย่างที่พระพุทธเจ้าพูด ก็อาจจะพิสูจน์ไม่ได้นะ ดิฉันไม่ได้ว่าคนที่นับถือศาสนาพุทธนะคะ ดิฉันแค่ยกตัวอย่างให้เห็น ว่าคุณเองก็กำลังงมงายในศาสนาของคุณ ว่าพระพุทธเจ้าพูดอะไรถูกหมด จริงหมด ใช่หมด” ทำให้เหล่าผู้ชมที่กำลังดูไลฟ์ต่างทักท้วงกันต่อเนื่อง จนหนุ่มต้องบอกให้ อ.ควีน ขอโทษในสิ่งที่พูดไป ซึง อ.ควีนได้อธิบายว่าไม่ได้หมายถึงเช่นนั้นเพราะตนกำลังอธิบายว่า คุณมีสิทธิ์ที่จะงมงายในศาสนาและความเชื่อ แต่ไม่ได้หมายถึงชาวพุทธงมงาย หากใครเข้าใจผิด ตนกราบขอโทษ ณ ตรงนี้

สำหรับในช่วงท้ายรายการ ยังมีชาวเน็ตเรียกร้องในประเด็นให้มีการตรวจสอบภาษี “หมอดู” เพราะมีการรับเงินสด ทำให้ตรวจสอบไม่ได้ ซึ่งทางฝ่าย อ.ควีน และ อ.โจ ยืนยันว่า รายรับทุกอย่างจะต้องมีการเสียภาษีถูกต้องแน่นอน นอกจากนี้ทางอาจารย์ทั้งสองยังแนะนำว่า “หมอดู” ที่เป็นมิจฉาชีพก็มี เราจะสังเกตได้จากคนที่เดินเข้ามาทักท้วงว่าดวงดีหรือไม่ดี ก่อนจะหลอกดูดวงแล้วเสียเงิน นอกจากนี้ยังอยากให้ทุกคนเคารพความคิดในความเห็นที่แตกต่าง เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข